1) มีความอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และไขว่คว้าหาความรู้อย่างไม่หยุดหย่อน จนเข้าใจในสิ่ง ๆ นั้นอย่างถ่องแท้ เห็นได้ชัดจากการที่ Leonardo Da Vinci ทุ่มเทพลังชีวิตทั้งหมดให้กับการแสวงหาความจริงและความงาม โดยท่านเป็นคนช่างสังเกต และชอบตั้งคำถามอยู่ตลอดเวลา เช่น ท่านมักจะถามว่าในหนึ่งชีวิตของคนเรานั้นจะทำสิ่งใดได้บ้างก่อนจากโลกนี้ไป และในการสังเกตทุก ๆ ครั้ง จะต้องมีการจดบันทึกไว้เสมอ ประโยชน์ของการจดบันทึก - เก็บข้อมูลต่าง ๆ จากการสังเกต และแนวคิดใหม่ ๆ ที่ได้รับ - ทำให้แนวคิดใหม่ ๆ ที่ผุดขึ้นมาในสมองไม่สูญเปล่า -When a problem occurs, write the problem down in the record books. Find out why Various factors, text editing, which makes the mind not the distracted can see the problem and solution in all aspects. -Make the creativity, the more aspects of. -Make learning real things. In addition to Leonardo da Vinci to penetrate the steel will rust also believed. If it is not being used, the water is rotten. When there is no turnover. Not cooling, the ice becomes comparable to the human brain. If it is not being used, do not recognize pondering to make blunt brain and all the benefits. Brain training can start from the people and things around us carefully, like it is possible to speak to. Emotions, etc. to keep the data. In addition to the observations, and then becoming a good listener is also another way to store data as well.2) ทดสอบและวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้รับเข้ามา ว่าเป็นจริง และน่าเชื่อถือหรือไม่ Leonardo da Vinci เป็นผู้ที่มีโลกทัศน์กว้าง และเปิดรับข้อมูลใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา และไม่เคยเชื่อสิ่งใด ๆ ที่ผ่านเข้ามาโดยที่เขาไม่ได้ประสบเอง เพราะเขาเชื่อว่าศัตรูที่แท้จริงของมนุษย์ คือ การเชื่อในสิ่งต่าง ๆ ที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ ดังนั้น เมื่อได้รับข้อมูลใด ๆ ก็ตามให้เก็บข้อมูลไว้อย่างเป็นกลางก่อน ไม่ควรด่วนตัดสินใจว่าผิดหรือถูก ให้รู้จักเมตตาต่อผู้อื่น แล้วจึงค่อยนำข้อมูลมาทบทวนพิจารณาอย่างถ้วนถี่ ให้ได้ข้อเท็จจริง แต่ที่สำคัญข้อเท็จจริงที่ได้ในครั้งนี้เป็นเพียง เสี้ยวหนึ่งของความเป็นจริงในปัจจุบันเท่านั้น เพราะเมื่อเวลาผ่านไปทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริง ที่ได้นี้อาจจะไม่ใช่อีกต่อไป การเปิดใจกว้างเช่นนี้จะทำให้เราสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข และสามารถ รับเอาความรู้ ประสบการณ์ และทักษะต่าง ๆ จากผู้อื่น มาเป็นข้อมูลประกอบในการดำรงชีวิตของเราได้อีกด้วย By the ordinary man's often, but all the good things of others, but Leonardo da Vinci compliance not Leonardo da Vinci it says that we should study the shortcomings and mistakes to be avoided does not bring that to the norm in daily life.3) ฝึกขัดเกลาประสาทสัมผัส ทั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ให้มีความฉับไว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประสาทสัมผัสทางตา ควรให้ความสำคัญก่อนเพราะเชื่อว่า ตาเป็นส่วนที่เปิดรับข้อมูลต่าง ๆ ได้มากที่สุดเป็นอันดับแรก การฝึกประสาทสัมผัสทั้ง 5 หมายความว่า เวลามองสิ่งใดให้ตั้งใจมอง เวลาได้ยินสิ่งใดต้องตั้งใจฟัง เวลาได้รับกลิ่นใดต้องสนใจและรับรู้ได้ เวลาลิ้มรสสิ่งใดต้องแยกแยะได้ และเมื่อสัมผัสสิ่งใด หรือเคลื่อนไหวต้องมีความระมัดระวัง และมีสติอยู่ตลอดเวลา สุดท้าย เมื่อพูดสิ่งใด ต้องคิดตามอยู่เสมอ มนุษย์ส่วนใหญ่มักจะ Look, but don't see (Look without seeing.) Listen but don't hear (Listen without hearing). The touch, but do not feel (without Touch feeling). Eat, but I do not know (Eat without tasting). Movement without the smallness (Move without physical awareness). Breath taking but do not smell (odor of Inhale without awareness of fragrance). Speaking without thinking (Talk without thinking).4) who will have to have clever ideas like the following. 1. ยอมรับในสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่จีรังยั่งยืนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้ เพราะปกติแล้วมนุษย์มักปริวิตก และตื่นตระหนกมากจนเกินไปกับสิ่งที่แปรเปลี่ยนโดยไม่รู้ตัว ทำให้เกิดอาการสติแตก ทำให้มองสิ่งต่าง ๆ ที่กำลังประสบอยู่นั้นไม่ตรงตามความเป็นจริง คือคิดฟุ้งซ่าน ดังนั้น จึงไม่ควรยึดในสิ่งที่มันเป็นอยู่ในปัจจุบันว่า มันจะยั่งยืน ให้คิดเสียว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ให้ทำใจเตรียมพร้อมรับอยู่ตลอดเวลา โดยไม่ประมาท 2. ให้มองจุดเปลี่ยนของอารมณ์ จากอารมณ์ปกติ เป็นอารมณ์อื่น ๆ เช่น อารมณ์โกรธ ให้มองว่า มีสาเหตุใดบ้างที่ทำให้อารมณ์เปลี่ยน และให้พิจารณาแก้ไขตรงสาเหตุนั้น ๆ แต่หากเป็นอารมณ์ดีใจ ให้พิจารณาว่า เป็นเพียงอารมณ์หนึ่งที่ผ่านเข้ามา ไม่มีสิ่งใดยั่งยืน โดยปกติคนเรามักจะรับรู้ไม่ทัน กับจุดที่มีการเปลี่ยนอารมณ์ ดังนั้น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในชีวิต จึงเจ็บปวดและรับไม่ได้ และโทษว่าผู้อื่น เปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิม
ส่วนใหญ่แล้วสิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมีเพียง 3 ประการหลัก ๆ คือ สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน บุคคลที่เปลี่ยน หรือใจเราเองที่เปลี่ยน ซึ่งเราต้องมองให้ออก และเห็นจุดเปลี่ยนให้ได้ จึงจะไม่มีคำว่า ทำใจไม่ได้ในชีวิต
3. เมื่อเกิดปัญหา ให้แก้ไขทีละเปราะ และต้องกล้ามองไปถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในปัญหานี้ แล้วลองมองย้อนขึ้นมา เพื่อหาทางแก้ไข หากถึงทางตันแก้ไขไม่ได้ จิตจะรับรู้เอง และถ้าเหตุการณ์นั้นต้องเกิดขึ้นจริง ๆ จิตจะไม่กระเพื่อมและยอมรับได้ นอกจากนี้ การคิดในลักษณะเช่นนี้จะทำให้จิตใจเข้มแข็ง และทำให้เกิดปัญญาเห็นหนทางใหม่ ๆ ในการแก้ไขปัญหาอีกด้วย
4. เมื่อเกิดปัญหา ห้ามกลบเกลื่อน และหนีปัญหาโดยเด็ดขาด ต้องกล้าน้อมรับ ค่อย ๆ คิดหาทา
การแปล กรุณารอสักครู่..
