คนเราทุกคน ต่างก็มีหน้าที่ ที่จะต้องทำ หน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบ ฟังดู การแปล - คนเราทุกคน ต่างก็มีหน้าที่ ที่จะต้องทำ หน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบ ฟังดู อังกฤษ วิธีการพูด

คนเราทุกคน ต่างก็มีหน้าที่ ที่จะต้อ

คนเราทุกคน ต่างก็มีหน้าที่ ที่จะต้องทำ หน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบ ฟังดูแล้วอาจจะเป็นคำที่สั้น แต่ความสำคัญของมันนั้นไม่ได้สั้นเหมือนตัวสะกดของมันเลย หน้าที่ คำคำนี้หลายคนฟังแล้วอาจจะนึกถึง ภาระหน้าที่ หรือ สิ่งที่ต้องทำ ซึ่งคนเราทุกคนต่างก็มีหน้าที่ที่ต้องทำ อาจจะเป็นหน้าที่พ่อแม่ที่ต้องเลี้ยงดูลูก หน้าที่ครูที่จะต้องอบรมสั่งสอนศิษย์ หน้าที่ของตำรวจที่ต้องคอยดูแลปกป้องประชาชน หรือแม้แต่ หน้าที่นักเรียน ที่จะต้องเรียนหนังสือ หน้าที่ทุกหน้าที่ต่างก็เป็นสิ่งที่สำคัญในชีวิตของทุกคน ทุกคนมีหน้าที่ ที่ต้องทำ ตัวฉันเองก็มีหน้าที่ที่ต้องทำ มันสิ่งที่สำคัญสิ่งหนึ่งในชีวิต และหน้าที่ของฉันก็คือการเป็นนักศึกษา หน้าที่ของนักศึกษาไม่ใช่แค่ศึกษาเล่าเรียน ไม่ใช่แค่การศึกษาหาความรู้จากตำราจากหนังสือ แต่เป็นการเรียนรู้จากการการใช้ชีวิตในสังคม เรียนรู้จากคน เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตในสังคมยังไง และตอนนี้ฉันเองก็กำลังพยายามที่จะเรียนรู้การใช้ชีวิตในสังคมใหม่ของฉัน สังคมคมที่กว้างขึ้นกว่าเดิม สังคมที่ไม่ใช่รั้วโรงเรียนมัธยมเล็กๆ สังคมที่ต้องยืนด้วยขาของตัวเอง .
ฉันสอบติดที่ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา สาขาธุรกิจการบิน ฉันไม่รู้ว่าเพราะอะไรฉันถึงสอบติด คงต้องกลับไปตั้งคำถามกับตัวเองว่า เพราะอะไรฉันจึงมาสอบที่นี่ ? ฉันไม่ใช่คนที่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษในระดับดี ไม่ใช่คนที่เรียนวิชาภาษาอังกฤษเก่ง ฉันพูดภาษาอังกฤษไม่คล่อง และ ฉันก็กลัวที่จะเดินเข้าไปพูดคุยกับใครเป็นภาษาอังกฤษ และทั้งๆที่รู้ว่าที่นี่ เป็นวิทยาลัยนานาชาติ การเรียนการสอนจะเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด แต่ที่ฉันเลือกที่จะมาเรียนที่นี่ เพราะฉันอยากเอาชนะความกลัว ฉันรู้ดีว่ามันอาจจะเป็นไปได้ยาก แต่มันไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ ฉันคิดว่าที่นี่สามารถทำให้ฉันเอาชนะความกลัวได้ ฉันเชื่อว่าที่นี่มันจะทำให้ฉันเดินไปจนถึงสิ่งที่ฉันหวัง
ตั้งแต่ฉันเข้ามาเรียนที่นี่ มันทำให้ฉันรู้ว่าการเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยนั้น มันแตกต่างจากการเรียนตอนมัธยมปลายมาก ตอนที่ฉันเรียนมัธยมปลาย ฉันเรียนสายวิทย์-คณิต แน่นอน ว่าการเรียนการสอนไม่ได้เน้นวิชาภาษาอังกฤษเลย แต่มาเรียนที่นี่ การเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด อาจารย์ที่สอนก็พูดภาษาอังกฤษ มันทำให้ฉันต้องปรับตัวมากขึ้น และด้วยเป็นคนที่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษที่ไม่ดี มันยิ่งทำให้ฉันต้องปรับตัวมากกว่าคนอื่นหลายเท่า ฉันเป็นคนที่มีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียนน้อยมาก เรียนในห้องเรียนก็ตามเพื่อนไม่ทัน ฉันมักจะมาสอบถามจากเพื่อนหลังเรียนเสร็จเป็นประจำ เรียนมหาวิทยาลัย หลายๆคนอาจจะคิดว่ามันมีอิสระมากขึ้น มีกิจกรรมใหม่ๆให้เราทำมากขึ้น กฎระเบียบน้อยลง ไม่มีใครมาคอยบังคับ มาคอยออกคำสั่ง คอยตามงาน การบ้านให้เรา แต่เราต้องรับผิดชอบตัวเองมากขึ้น รู้จักวางแผนการใช้ชีวิตในแต่ละวัน และที่สำคัญเราต้องรู้จักช่วยเหลือตัวเอง ทำอะไรด้วยตัวเอง เพราะการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย ต่างคนต่างใช้ชีวิต ไม่มีใครที่สามารถช่วยเหลือเราได้ทุกอย่าง มหาวิทยาลัยต่างจากมัธยมตรงที่ไม่ได้สอนแค่เนื้อหาที่เรียน แต่สอนให้เรารู้จักการใช้ชีวิต สอนให้เรารู้จักวางแผน และจัดการกับการใช้ชีวิตของตัวเราเอง ไม่มีใครมาคอยกำหนด ว่าเราจะต้องเดินทางไหน ทุกสิ่งทุกอย่างเราเป็นคนตัดสินใจและเลือกเดิน ตอนเรียนมัธยมเราอยู่ในสังคมเล็กๆ พบเจอคนแค่ในโรงเรียน แต่ในมหาวิทยาลัยเราจะต้องพบเจอผู้คนที่หลากหลาย ต้องอยู่ในสังคมที่กว้างขึ้น ในแต่ละวันต้องพบเจอสถานการณ์ต่างๆที่ต้องแก้ไขด้วยตัวเอง เราต้องมีความหนักแน่นมากขึ้น ต้องรู้จักควบคุมตัวเอง ไม่ให้หลงผิดตามแสงสี และสิ่งบันเทิงต่างๆที่เราไม่เคยได้รับตอนมัธยม การที่เราเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัย ออกมาใช้ชีวิตเองก็เหมือนเป็นการหลุดออกจากโซ่ เราต้องใช้ชีวิตเอง และเรียนรู้การใช้ชีวิตจากสิ่งต่างๆที่อยู่รอบรอบตัว เราต้องรู้จักห้ามใจตัวเอง และรู้จักผิดชอบชั่วดี เพราะไม่มีใครมาคอยบ่นคอยว่า เราต้องมีสติตลอดเวลา ว่าเรามาทำอะไร และกำลังทำอะไรอยู่ ฉันคิดว่า ตั้งแต่ฉันเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยทำให้ฉันโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น รู้จักรับผิดชอบ และรู้จักวางแผนการใช้ชีวิตมากขึ้น และสิ่งที่สำคัญอีกสิ่งหนึ่ง คือเราไม่ควรลืมเป้าหมายของตัวเอง
ตอนเรียนมัธยมฉันอยู่บ้านกับพ่อกับแม่ ตื่นไปโรงเรียนต้องมีแม่คอยปลุกทุกเช้า กับข้าวมีแม่เตรียมไว้ให้ อยากกินอะไรก็ได้กิน แต่มาเรียนมหาวิทยาลัย ต้องมาอยู่หอ ต้องรับผิดชอบตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม ต้องรู้จักหน้าที่ ต้องตื่นไปเรียนเอง ไม่มีใครคอยปลุก ไม่มีใครเตรียมอาหารเช้า อาหารเย็นให้เหมือนแต่ก่อน ต้องรู้จักใช้เงิน รู้จักใช้จ่ายในแต่ละวัน ฉันโชคดีอย่างหนึ่ง ที่หอพักอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย ทำให้ลดการใช้จ่ายเรื่องค่ารถประจำทางได้บ้าง เมื่อก่อนตอนเราเรียนมัธยมเราอยู่กับครอบครัวรายจ่ายน้อยกว่าการที่เราแยกออกมาอยู่หอ พอเราเรียนมหาวิทยาลัยเราต้องออกมาอยู่หอค่าใช้จ่ายในครอบครัวก็ต้องเพิ่มมากขึ้น เราต้องรู้จักบังคับใจตัวเองในการใช้จ่าย เมื่อก่อนตอนเรียนมัธยมแม่ให้เงินไปโรงเรียนวันละ 100 บาท แต่พอมาอยู่มหาวิทยาลัยแม่จะให้เงินใช้ อาทิตย์ละ 1000 บาท ต้องจัดการกับการเงินจำนวนนี้เอง ตั้งแต่มาเรียนมหาวิทยาลัยทำให้ฉันคิดถึงตอนเรียนมัธยม ทุกวันจะต้องเข้าแถวเคารพธงชาติ ต้องแต่งตัวตามกฎระเบียบ ต้องเข้าออกโรงเรียนตามตามเวลา ทำตามกฎระเบียบ แต่พอมาเรียนมหาวิทยาลัย ไม่ต้องเข้าแถวเคารพธงชาติ จะเข้าจะออกมหาวิทยาลัยไม่มีใครมาคอยบังคับ การที่เรามาใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่ใหญ่ขึ้น ทำเราต้องพบเจอผู้คนที่หลากหลายมากขึ้นกว่าตอนเรียนมัธยม ทำให้เราต้องรู้จักการปรับตัวเข้าหาคนอื่น รู้จักปรับเปลี่ยนนิสัยของตนเอง ให้สามารถเข้ากับผู้อื่นได้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างต้องอยู่บนพื้นฐานของความพอดี และต้องไม่มากเกินไป เราต้องรู้จักการคบหาเพื่อน ต้องรู้จักเลือกคบเพื่อน สังคมที่กว้างขึ้น ผู้คนก็มากขึ้น มีทั้งดีและไม่ดี การไว้ใจคนเป็นสิ่งสำคัญ เราอย่าไว้ใจใคร แต่ให้เราต้องไว้ใจตัวเรา
สังคมเดิมที่ฉันเคยอยู่ ไม่แตกต่างจากสังคมในกรุงเทพมากนัก เพราะฉันเติบโตที่จังหวัดสมุท
0/5000
จาก: -
เป็น: -
ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 1: [สำเนา]
คัดลอก!
We all have a duty to make. The duties will be responsible for listening to the show, could be a short term, but its importance is not short like the spelling of it. Many people hear the word page, might be reminded of the obligations, or what to do, we all have a duty to do can be a served to parents raising children. Responsible teachers to teach students tongoprom The duty of the police to ensure protection of the public, or even that the students will need to study. Responsible for all duties, it is important in everyone's life. Everyone has a duty to do. Myself, it is obliged to do it, one of the important things in life, and it is my duty as a student. The duty of a student is not just academic study is not just to learn from a textbook from the book but it is learning from life in society. Learn from the people. Learning to live in society as it is and now I'm trying to learn how to use my new social life. The society produces a wider than ever. The society is not a fence, a small high school. Society must stand with legs of its own.I'm stuck at the International College. Rajabhat University Park's Nan Ta business branch I don't know why I even fixed-stick test to return to question yourself whether what I baked quarter here? I'm not a guy who has a good basic level of English, not people who learn English proficient. I speak fluent English and I was afraid to go to talk with someone in English and I know that this is an international College. Teaching will be in English, but I chose to come here because I wanted to overcome fear. I know that it may be possible, but it does not mean that it would be impossible. I think that this can make me overcome fear. I believe that here, it will make me walk through what I hope.ตั้งแต่ฉันเข้ามาเรียนที่นี่ มันทำให้ฉันรู้ว่าการเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยนั้น มันแตกต่างจากการเรียนตอนมัธยมปลายมาก ตอนที่ฉันเรียนมัธยมปลาย ฉันเรียนสายวิทย์-คณิต แน่นอน ว่าการเรียนการสอนไม่ได้เน้นวิชาภาษาอังกฤษเลย แต่มาเรียนที่นี่ การเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด อาจารย์ที่สอนก็พูดภาษาอังกฤษ มันทำให้ฉันต้องปรับตัวมากขึ้น และด้วยเป็นคนที่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษที่ไม่ดี มันยิ่งทำให้ฉันต้องปรับตัวมากกว่าคนอื่นหลายเท่า ฉันเป็นคนที่มีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียนน้อยมาก เรียนในห้องเรียนก็ตามเพื่อนไม่ทัน ฉันมักจะมาสอบถามจากเพื่อนหลังเรียนเสร็จเป็นประจำ เรียนมหาวิทยาลัย หลายๆคนอาจจะคิดว่ามันมีอิสระมากขึ้น มีกิจกรรมใหม่ๆให้เราทำมากขึ้น กฎระเบียบน้อยลง ไม่มีใครมาคอยบังคับ มาคอยออกคำสั่ง คอยตามงาน การบ้านให้เรา แต่เราต้องรับผิดชอบตัวเองมากขึ้น รู้จักวางแผนการใช้ชีวิตในแต่ละวัน และที่สำคัญเราต้องรู้จักช่วยเหลือตัวเอง ทำอะไรด้วยตัวเอง เพราะการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย ต่างคนต่างใช้ชีวิต ไม่มีใครที่สามารถช่วยเหลือเราได้ทุกอย่าง มหาวิทยาลัยต่างจากมัธยมตรงที่ไม่ได้สอนแค่เนื้อหาที่เรียน แต่สอนให้เรารู้จักการใช้ชีวิต สอนให้เรารู้จักวางแผน และจัดการกับการใช้ชีวิตของตัวเราเอง ไม่มีใครมาคอยกำหนด ว่าเราจะต้องเดินทางไหน ทุกสิ่งทุกอย่างเราเป็นคนตัดสินใจและเลือกเดิน ตอนเรียนมัธยมเราอยู่ในสังคมเล็กๆ พบเจอคนแค่ในโรงเรียน แต่ในมหาวิทยาลัยเราจะต้องพบเจอผู้คนที่หลากหลาย ต้องอยู่ในสังคมที่กว้างขึ้น ในแต่ละวันต้องพบเจอสถานการณ์ต่างๆที่ต้องแก้ไขด้วยตัวเอง เราต้องมีความหนักแน่นมากขึ้น ต้องรู้จักควบคุมตัวเอง ไม่ให้หลงผิดตามแสงสี และสิ่งบันเทิงต่างๆที่เราไม่เคยได้รับตอนมัธยม การที่เราเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัย ออกมาใช้ชีวิตเองก็เหมือนเป็นการหลุดออกจากโซ่ เราต้องใช้ชีวิตเอง และเรียนรู้การใช้ชีวิตจากสิ่งต่างๆที่อยู่รอบรอบตัว เราต้องรู้จักห้ามใจตัวเอง และรู้จักผิดชอบชั่วดี เพราะไม่มีใครมาคอยบ่นคอยว่า เราต้องมีสติตลอดเวลา ว่าเรามาทำอะไร และกำลังทำอะไรอยู่ ฉันคิดว่า ตั้งแต่ฉันเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยทำให้ฉันโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น รู้จักรับผิดชอบ และรู้จักวางแผนการใช้ชีวิตมากขึ้น และสิ่งที่สำคัญอีกสิ่งหนึ่ง คือเราไม่ควรลืมเป้าหมายของตัวเอง ตอนเรียนมัธยมฉันอยู่บ้านกับพ่อกับแม่ ตื่นไปโรงเรียนต้องมีแม่คอยปลุกทุกเช้า กับข้าวมีแม่เตรียมไว้ให้ อยากกินอะไรก็ได้กิน แต่มาเรียนมหาวิทยาลัย ต้องมาอยู่หอ ต้องรับผิดชอบตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม ต้องรู้จักหน้าที่ ต้องตื่นไปเรียนเอง ไม่มีใครคอยปลุก ไม่มีใครเตรียมอาหารเช้า อาหารเย็นให้เหมือนแต่ก่อน ต้องรู้จักใช้เงิน รู้จักใช้จ่ายในแต่ละวัน ฉันโชคดีอย่างหนึ่ง ที่หอพักอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย ทำให้ลดการใช้จ่ายเรื่องค่ารถประจำทางได้บ้าง เมื่อก่อนตอนเราเรียนมัธยมเราอยู่กับครอบครัวรายจ่ายน้อยกว่าการที่เราแยกออกมาอยู่หอ พอเราเรียนมหาวิทยาลัยเราต้องออกมาอยู่หอค่าใช้จ่ายในครอบครัวก็ต้องเพิ่มมากขึ้น เราต้องรู้จักบังคับใจตัวเองในการใช้จ่าย เมื่อก่อนตอนเรียนมัธยมแม่ให้เงินไปโรงเรียนวันละ 100 บาท แต่พอมาอยู่มหาวิทยาลัยแม่จะให้เงินใช้ อาทิตย์ละ 1000 บาท ต้องจัดการกับการเงินจำนวนนี้เอง ตั้งแต่มาเรียนมหาวิทยาลัยทำให้ฉันคิดถึงตอนเรียนมัธยม ทุกวันจะต้องเข้าแถวเคารพธงชาติ ต้องแต่งตัวตามกฎระเบียบ ต้องเข้าออกโรงเรียนตามตามเวลา ทำตามกฎระเบียบ แต่พอมาเรียนมหาวิทยาลัย ไม่ต้องเข้าแถวเคารพธงชาติ จะเข้าจะออกมหาวิทยาลัยไม่มีใครมาคอยบังคับ การที่เรามาใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่ใหญ่ขึ้น ทำเราต้องพบเจอผู้คนที่หลากหลายมากขึ้นกว่าตอนเรียนมัธยม ทำให้เราต้องรู้จักการปรับตัวเข้าหาคนอื่น รู้จักปรับเปลี่ยนนิสัยของตนเอง ให้สามารถเข้ากับผู้อื่นได้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างต้องอยู่บนพื้นฐานของความพอดี และต้องไม่มากเกินไป เราต้องรู้จักการคบหาเพื่อน ต้องรู้จักเลือกคบเพื่อน สังคมที่กว้างขึ้น ผู้คนก็มากขึ้น มีทั้งดีและไม่ดี การไว้ใจคนเป็นสิ่งสำคัญ เราอย่าไว้ใจใคร แต่ให้เราต้องไว้ใจตัวเรา สังคมเดิมที่ฉันเคยอยู่ ไม่แตกต่างจากสังคมในกรุงเทพมากนัก เพราะฉันเติบโตที่จังหวัดสมุท
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 2:[สำเนา]
คัดลอก!
คนเราทุกคน ต่างก็มีหน้าที่ ที่จะต้องทำ หน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบ ฟังดูแล้วอาจจะเป็นคำที่สั้น แต่ความสำคัญของมันนั้นไม่ได้สั้นเหมือนตัวสะกดของมันเลย หน้าที่ คำคำนี้หลายคนฟังแล้วอาจจะนึกถึง ภาระหน้าที่ หรือ สิ่งที่ต้องทำ ซึ่งคนเราทุกคนต่างก็มีหน้าที่ที่ต้องทำ อาจจะเป็นหน้าที่พ่อแม่ที่ต้องเลี้ยงดูลูก หน้าที่ครูที่จะต้องอบรมสั่งสอนศิษย์ หน้าที่ของตำรวจที่ต้องคอยดูแลปกป้องประชาชน หรือแม้แต่ หน้าที่นักเรียน ที่จะต้องเรียนหนังสือ หน้าที่ทุกหน้าที่ต่างก็เป็นสิ่งที่สำคัญในชีวิตของทุกคน ทุกคนมีหน้าที่ ที่ต้องทำ ตัวฉันเองก็มีหน้าที่ที่ต้องทำ มันสิ่งที่สำคัญสิ่งหนึ่งในชีวิต และหน้าที่ของฉันก็คือการเป็นนักศึกษา หน้าที่ของนักศึกษาไม่ใช่แค่ศึกษาเล่าเรียน ไม่ใช่แค่การศึกษาหาความรู้จากตำราจากหนังสือ แต่เป็นการเรียนรู้จากการการใช้ชีวิตในสังคม เรียนรู้จากคน เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตในสังคมยังไง และตอนนี้ฉันเองก็กำลังพยายามที่จะเรียนรู้การใช้ชีวิตในสังคมใหม่ของฉัน สังคมคมที่กว้างขึ้นกว่าเดิม สังคมที่ไม่ใช่รั้วโรงเรียนมัธยมเล็กๆ สังคมที่ต้องยืนด้วยขาของตัวเอง .
ฉันสอบติดที่ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา สาขาธุรกิจการบิน ฉันไม่รู้ว่าเพราะอะไรฉันถึงสอบติด คงต้องกลับไปตั้งคำถามกับตัวเองว่า เพราะอะไรฉันจึงมาสอบที่นี่ ? ฉันไม่ใช่คนที่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษในระดับดี ไม่ใช่คนที่เรียนวิชาภาษาอังกฤษเก่ง ฉันพูดภาษาอังกฤษไม่คล่อง และ ฉันก็กลัวที่จะเดินเข้าไปพูดคุยกับใครเป็นภาษาอังกฤษ และทั้งๆที่รู้ว่าที่นี่ เป็นวิทยาลัยนานาชาติ การเรียนการสอนจะเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด แต่ที่ฉันเลือกที่จะมาเรียนที่นี่ เพราะฉันอยากเอาชนะความกลัว ฉันรู้ดีว่ามันอาจจะเป็นไปได้ยาก แต่มันไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ ฉันคิดว่าที่นี่สามารถทำให้ฉันเอาชนะความกลัวได้ ฉันเชื่อว่าที่นี่มันจะทำให้ฉันเดินไปจนถึงสิ่งที่ฉันหวัง
ตั้งแต่ฉันเข้ามาเรียนที่นี่ มันทำให้ฉันรู้ว่าการเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยนั้น มันแตกต่างจากการเรียนตอนมัธยมปลายมาก ตอนที่ฉันเรียนมัธยมปลาย ฉันเรียนสายวิทย์-คณิต แน่นอน ว่าการเรียนการสอนไม่ได้เน้นวิชาภาษาอังกฤษเลย แต่มาเรียนที่นี่ การเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด อาจารย์ที่สอนก็พูดภาษาอังกฤษ มันทำให้ฉันต้องปรับตัวมากขึ้น และด้วยเป็นคนที่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษที่ไม่ดี มันยิ่งทำให้ฉันต้องปรับตัวมากกว่าคนอื่นหลายเท่า ฉันเป็นคนที่มีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาที่เรียนน้อยมาก เรียนในห้องเรียนก็ตามเพื่อนไม่ทัน ฉันมักจะมาสอบถามจากเพื่อนหลังเรียนเสร็จเป็นประจำ เรียนมหาวิทยาลัย หลายๆคนอาจจะคิดว่ามันมีอิสระมากขึ้น มีกิจกรรมใหม่ๆให้เราทำมากขึ้น กฎระเบียบน้อยลง ไม่มีใครมาคอยบังคับ มาคอยออกคำสั่ง คอยตามงาน การบ้านให้เรา แต่เราต้องรับผิดชอบตัวเองมากขึ้น รู้จักวางแผนการใช้ชีวิตในแต่ละวัน และที่สำคัญเราต้องรู้จักช่วยเหลือตัวเอง ทำอะไรด้วยตัวเอง เพราะการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย ต่างคนต่างใช้ชีวิต ไม่มีใครที่สามารถช่วยเหลือเราได้ทุกอย่าง มหาวิทยาลัยต่างจากมัธยมตรงที่ไม่ได้สอนแค่เนื้อหาที่เรียน แต่สอนให้เรารู้จักการใช้ชีวิต สอนให้เรารู้จักวางแผน และจัดการกับการใช้ชีวิตของตัวเราเอง ไม่มีใครมาคอยกำหนด ว่าเราจะต้องเดินทางไหน ทุกสิ่งทุกอย่างเราเป็นคนตัดสินใจและเลือกเดิน ตอนเรียนมัธยมเราอยู่ในสังคมเล็กๆ พบเจอคนแค่ในโรงเรียน แต่ในมหาวิทยาลัยเราจะต้องพบเจอผู้คนที่หลากหลาย ต้องอยู่ในสังคมที่กว้างขึ้น ในแต่ละวันต้องพบเจอสถานการณ์ต่างๆที่ต้องแก้ไขด้วยตัวเอง เราต้องมีความหนักแน่นมากขึ้น ต้องรู้จักควบคุมตัวเอง ไม่ให้หลงผิดตามแสงสี และสิ่งบันเทิงต่างๆที่เราไม่เคยได้รับตอนมัธยม การที่เราเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัย ออกมาใช้ชีวิตเองก็เหมือนเป็นการหลุดออกจากโซ่ เราต้องใช้ชีวิตเอง และเรียนรู้การใช้ชีวิตจากสิ่งต่างๆที่อยู่รอบรอบตัว เราต้องรู้จักห้ามใจตัวเอง และรู้จักผิดชอบชั่วดี เพราะไม่มีใครมาคอยบ่นคอยว่า เราต้องมีสติตลอดเวลา ว่าเรามาทำอะไร และกำลังทำอะไรอยู่ ฉันคิดว่า ตั้งแต่ฉันเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยทำให้ฉันโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น รู้จักรับผิดชอบ และรู้จักวางแผนการใช้ชีวิตมากขึ้น และสิ่งที่สำคัญอีกสิ่งหนึ่ง คือเราไม่ควรลืมเป้าหมายของตัวเอง
ตอนเรียนมัธยมฉันอยู่บ้านกับพ่อกับแม่ ตื่นไปโรงเรียนต้องมีแม่คอยปลุกทุกเช้า กับข้าวมีแม่เตรียมไว้ให้ อยากกินอะไรก็ได้กิน แต่มาเรียนมหาวิทยาลัย ต้องมาอยู่หอ ต้องรับผิดชอบตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม ต้องรู้จักหน้าที่ ต้องตื่นไปเรียนเอง ไม่มีใครคอยปลุก ไม่มีใครเตรียมอาหารเช้า อาหารเย็นให้เหมือนแต่ก่อน ต้องรู้จักใช้เงิน รู้จักใช้จ่ายในแต่ละวัน ฉันโชคดีอย่างหนึ่ง ที่หอพักอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย ทำให้ลดการใช้จ่ายเรื่องค่ารถประจำทางได้บ้าง เมื่อก่อนตอนเราเรียนมัธยมเราอยู่กับครอบครัวรายจ่ายน้อยกว่าการที่เราแยกออกมาอยู่หอ พอเราเรียนมหาวิทยาลัยเราต้องออกมาอยู่หอค่าใช้จ่ายในครอบครัวก็ต้องเพิ่มมากขึ้น เราต้องรู้จักบังคับใจตัวเองในการใช้จ่าย เมื่อก่อนตอนเรียนมัธยมแม่ให้เงินไปโรงเรียนวันละ 100 บาท แต่พอมาอยู่มหาวิทยาลัยแม่จะให้เงินใช้ อาทิตย์ละ 1000 บาท ต้องจัดการกับการเงินจำนวนนี้เอง ตั้งแต่มาเรียนมหาวิทยาลัยทำให้ฉันคิดถึงตอนเรียนมัธยม ทุกวันจะต้องเข้าแถวเคารพธงชาติ ต้องแต่งตัวตามกฎระเบียบ ต้องเข้าออกโรงเรียนตามตามเวลา ทำตามกฎระเบียบ แต่พอมาเรียนมหาวิทยาลัย ไม่ต้องเข้าแถวเคารพธงชาติ จะเข้าจะออกมหาวิทยาลัยไม่มีใครมาคอยบังคับ การที่เรามาใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่ใหญ่ขึ้น ทำเราต้องพบเจอผู้คนที่หลากหลายมากขึ้นกว่าตอนเรียนมัธยม ทำให้เราต้องรู้จักการปรับตัวเข้าหาคนอื่น รู้จักปรับเปลี่ยนนิสัยของตนเอง ให้สามารถเข้ากับผู้อื่นได้ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างต้องอยู่บนพื้นฐานของความพอดี และต้องไม่มากเกินไป เราต้องรู้จักการคบหาเพื่อน ต้องรู้จักเลือกคบเพื่อน สังคมที่กว้างขึ้น ผู้คนก็มากขึ้น มีทั้งดีและไม่ดี การไว้ใจคนเป็นสิ่งสำคัญ เราอย่าไว้ใจใคร แต่ให้เราต้องไว้ใจตัวเรา
สังคมเดิมที่ฉันเคยอยู่ ไม่แตกต่างจากสังคมในกรุงเทพมากนัก เพราะฉันเติบโตที่จังหวัดสมุท
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 3:[สำเนา]
คัดลอก!
We all have the duty to do the duty to responsibility. Sounds and words that may be short. But its importance is not short like spelling it serves, the word many people listen to แล้วอาจ will think of duty.What to do, which is everyone's responsibility to do. May be functions of parents to support you. Responsibilities of teachers to educate students. The duty of the police to protect the public, or even acting students.Functions of all functions is important in everyone's life, everyone has an obligation to be made, I'm obliged to do. It's very important thing in my life. And my responsibility is a student.Not just learn from the book of books. But is learning from the life in the society, learn from the people, learn to live in society.The sharp social wider than ever. The society is not a small fence high school The society must stand on your own feet.
I passed the exam.), Suan sunandha Rajabhat University degree in aviation business, I don't know why I got in. Must return to the question itself. Why am I here? TestI'm not a basic level of English. Not to study English well, I don't speak English fluently, and I was afraid to walk in to talk to the English and knowing that this.Teaching and learning are all English. But I chose to be here. Because I want to overcome fear. I know that it might be difficult. But it doesn't mean it's impossible.I believe this will make me walk up to what I hope!Ever since I came to this school. It made me realize that studying in the University. It is different from learning high school. When I was in high school, I study the Science - Mathematics, of course.But in this school. Teaching English at all. The teachers also speak English. It made me want to adapt more. With a basic English is not good.I have the knowledge and understanding of the course content is very low. The classroom though friends behind. I often ask friends after school. School, many people may think it more freedom.Rules less there is no one to force to command, following work, homework for us, but เราต้องรับผิดชอบ myself more. Know the plan to live daily. And most importantly, we have to know help yourself, do yourself.Different people live. No one can help us all. The university is different from the high school where not just teach course content. It teaches us to life, to teach us plan.There is no one to determine that we have to travel. Everything we decide and choose to walk. In high school, we are in a small society meet people just in school. But in college, we must meet various people.In the day to meet various situations that need to fix myself. We need to have more weight to control myself, not to offend the light. And entertainment that we have never been at school.It is like a living out of the chain, we have to live. And learn to live from the things around around. We need to know to help himself and conscience, because there is no one to complain to.What we're doing and doing. I think since I entered college I grow more mature, responsible Know the plan and live more and more. And what is important one.
.In high school I stay at home with mom and dad. Wake up to go to school to have a mom wake up every morning. And I prepared to want anything to eat, but Marian university to the dormitory be responsible for more than ever.To wake up to go to class. No one to wake. Nobody prepared breakfast, dinner like but first must know money know spend each day. I'm fortunate one, near the university dormitoryWe used high school we stay with family expenses less than that we separated in the dorms. When we went to university, we need to come up with the dormitory family expenses must be increased. We need to know the abstinence in spending.100 baht, but when at university I will give the 1000 per week to deal with financial นวนน remember this. From Marian University reminds me of high school. Every day will line up respect the national flag to dress according to regulations.Follow the rules, but when Marian University. Don't line up respect the national flag. To be out of there is no one to force. That we live in a society that bigger.We need to know the adaptation to others. Know the habits of their own. Make available to others. But everything must be based on fit, and must not too much, we need to know การคบหา friends.The wider society, people more and more. There are both good and bad, to trust people is very important. We don't trust anyone, but we need to trust ourselves!The same society, where I was not significantly different from the society in Bangkok. Because I grew up in the province สมุท.
การแปล กรุณารอสักครู่..
 
ภาษาอื่น ๆ
การสนับสนุนเครื่องมือแปลภาษา: กรีก, กันนาดา, กาลิเชียน, คลิงออน, คอร์สิกา, คาซัค, คาตาลัน, คินยารวันดา, คีร์กิซ, คุชราต, จอร์เจีย, จีน, จีนดั้งเดิม, ชวา, ชิเชวา, ซามัว, ซีบัวโน, ซุนดา, ซูลู, ญี่ปุ่น, ดัตช์, ตรวจหาภาษา, ตุรกี, ทมิฬ, ทาจิก, ทาทาร์, นอร์เวย์, บอสเนีย, บัลแกเรีย, บาสก์, ปัญจาป, ฝรั่งเศส, พาชตู, ฟริเชียน, ฟินแลนด์, ฟิลิปปินส์, ภาษาอินโดนีเซี, มองโกเลีย, มัลทีส, มาซีโดเนีย, มาราฐี, มาลากาซี, มาลายาลัม, มาเลย์, ม้ง, ยิดดิช, ยูเครน, รัสเซีย, ละติน, ลักเซมเบิร์ก, ลัตเวีย, ลาว, ลิทัวเนีย, สวาฮิลี, สวีเดน, สิงหล, สินธี, สเปน, สโลวัก, สโลวีเนีย, อังกฤษ, อัมฮาริก, อาร์เซอร์ไบจัน, อาร์เมเนีย, อาหรับ, อิกโบ, อิตาลี, อุยกูร์, อุสเบกิสถาน, อูรดู, ฮังการี, ฮัวซา, ฮาวาย, ฮินดี, ฮีบรู, เกลิกสกอต, เกาหลี, เขมร, เคิร์ด, เช็ก, เซอร์เบียน, เซโซโท, เดนมาร์ก, เตลูกู, เติร์กเมน, เนปาล, เบงกอล, เบลารุส, เปอร์เซีย, เมารี, เมียนมา (พม่า), เยอรมัน, เวลส์, เวียดนาม, เอสเปอแรนโต, เอสโทเนีย, เฮติครีโอล, แอฟริกา, แอลเบเนีย, โคซา, โครเอเชีย, โชนา, โซมาลี, โปรตุเกส, โปแลนด์, โยรูบา, โรมาเนีย, โอเดีย (โอริยา), ไทย, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์, การแปลภาษา.

Copyright ©2024 I Love Translation. All reserved.

E-mail: