-วัดสุปัฏนารามวรวิหาร-- วัดสุปัฏนารามวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ถนนวัดสุปัฏน์  การแปล - -วัดสุปัฏนารามวรวิหาร-- วัดสุปัฏนารามวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ถนนวัดสุปัฏน์  อังกฤษ วิธีการพูด

-วัดสุปัฏนารามวรวิหาร-- วัดสุปัฏนาร

-วัดสุปัฏนารามวรวิหาร-
-

วัดสุปัฏนารามวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ถนนวัดสุปัฏน์ อ. เมือง จ.อุบลราชธานี ( ริมฝั่งแม่น้ำมูล ซึ่งไหลผ่านทางทิศใต้ของตัวเมืองอุบลราชธานี ) มีเนื้อที่ 21 ไร่ 38 ตารางวา เป็นวัดธรรมยุติวัดแรกของจังหวัดอุบลราชธานี มีสถานะเป็นวัดอารามหลวงชั้นตรี
วัดสุปัฏนาราม สร้างในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โดยได้เริ่มสร้างวัดในปี พ.ศ.2393 และสร้างเสร็จ พ.ศ.2396 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า "วัดสุปัฏนาราม อันหมายถึง วัดที่มีสถานที่ตั้งเหมาะสมเป็น ท่าเรือที่ดี " ซึ่งสภาพของที่ตั้งวัดขณะนั้นเป็นที่เงียบสงัด เหมาะที่จะบำเพ็ญศาสนกิจ สะดวกในการออกบิณฑบาต ที่ไม่ไกลอยู่ติดกับฝั่งลำน้ำมูล และเมื่อสร้างวัดเสร็จแล้ว จงไปอาธนา ท่านพนฺธุโล (ดี) มาครองวัดสุปัฏนาราม และ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทาน ทรัพย์ส่วนพระองค์ ดังนี้

1. พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ 10 ชั่ง ( 800 ) บาท
2. ตั้งนิตยภัตแก่เจ้าอาวาส เดือนละ 8 บาท
3. จัดให้มีเลกวัด ( คนทำงานประจำวัด 60 คน)

สิ่งสำคัญภายในวัดสุปัฎนารามวรวิหาร

พระอุโบสถวัดสุปัฏรารามวรวิหาร ตัวพระอุโบสถที่สร้างขึ้นแต่ดั่งเดิม สร้างขึ้นด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.4) ซึ่งพระอุโบสถหลังเดิมนั้น มีความยาว 11 วา 2 ศอก กว้าง 8 ในขณะนั้น เสาไม้แก่นก่ออิฐโอกเสา หลังคาลดเป็น 2 ชั้น มุงด้วยกระเบื้องไม้ มีช่อฟ้าใบระกาประดับกระจก หน้าบันด้านตะวันออกสลักลายเครือ ตะวันตกสลักลายดอกไม้ พื้นถมดินปูด้วยกระเบื้องดินเผา และต่อมาพระอุโบสถหลังนี้ก็ได้ผุพังลง อีกทั้งบริเวณด้านหน้านั้นแคบ ไม่พอแก่กองทหาร กองตำรวจ กองลุกเสือ ที่ตั้งแถวในการทำพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาประจำปี

ต่อมาเจ้าอาวาสรูปที่ 7 สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) สมัยดำรงสมณศักดิ์ที่พระพระราชมุณี เป็นเจ้าคณะมณฑลอุบลราชธานี จึงได้นิมนต์พระมหาเถระ ข้าราชการ คหบดี หลายฝ่ายได้เข้าร่วมประชุมปรึกษาหารือกัน และเห็นควรรื้อถอนพระอุโบสถหลังเก่าออก ปลูกสร้างใหม่ทดแทน ให้เกิดความมั่นคงถาวร โดยมีเหตุผล 2 ประการ คือ

1.ให้พ้นทาง หากมีการตัดถนนในอนาคต
2. ให้พ้นตลิ่งฝั่งแม่น้ำมูล โดยให้หันพระอุโบสถลงสู่แม่น้ำ (ทิศใต้)

ซึ่งพระอุโบสถมีขนาดกว้าง 20 เมตร ยาว 34 เมตร สูง 22 เมตร ผู้อำนวยการสร้าง ได้แก่ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) สถาปนิกผู้ออกแบบ คือหลวงสถิตย์นิมานกาล (ชวน สุปิยพันธ์) ซึ่งเป็นช่างหลวงเป็นผู้ออกแบบ โดยเริ่มเตรียมวัสดุก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ.2460

วิธีการก่อสร้าง ได้ตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างฝ่ายสงฆ์และฝ่ายฆราวาสขึ้น โดยมีพระราชมุณีเจ้าคณะมณฑลเป็นประธาน หาทุนโดยเจ้าคณะมณฑลออกไปแสดงธรรมตามท้องที่ตำบลต่างๆ และให้สมุหเทศาภิบาล ซึ่งเป็นผู้ที่มีอำนาจฝ่ายปกครอง สั่งให้ราษฎรไปฟัง และสละเงินและปัจจัยต่างๆ บูชากัณฑ์เทศน์ ลงบัญชีรายได้ไว้เป็นตำบลๆไป

การก่อสร้างอิฐโบกปูน ครั้งแรกได้จ้างช่างจีนและช่างญวน มาทำเป็นตัวอย่าง แล้วคัดเลือกผู้สนใจร่วมทำ พอสามารถทำเองได้ ก็เลิกจ้างช่างชาวต่างชาติ ตอนแรกการใช้ปูนได้นำมาจากจังหวัดนครพนม ซึ่งอยู่ค่อนข้างไกลและราคาแพง ต่อมาได้สำรวจพบหินปูนชนิดเดียวกัน ในเขตตำบลตาลสุม (อำเภอตาลสุมในปัจจุบัน) อำเภอพิบูลมังสาหาร ในสมัยนั้น ซึ่งอยู่ใกล้แม่น้ำมูลสะดวกกว่า จึงให้ราษฎรทำปูนขาย ปูนที่ทำขึ้นแม้จะไม่ขาวนักแต่คุณภาพเท่ากับซีเมนต์

เนื่องจากการก่อสร้าง จะต้องสิ้นเปลืองวัสดุอุปกรณ์มากมาย และสมัยนั้น ยังไม่มีผู้ที่ทำไว้จำหน่ายเหมือนปัจจุบัน จึงได้ตั้งโรงงานช่างขึ้น แล้วสอนแบบก่อสร้าง สอนวิชาปั้นและก่อเตาเผาอิฐ สอนวิธีสีข้าว โดยวัดเป็นผู้ควบคุมดูแล เจ้าหน้าที่บ้านเมืองคือสมุหเทศบาล ผู้ว่าราชการจังหวัด และข้าราชการให้การสนับสนุนจน ได้รับความสำเร็จในที่สุด และการตั้งโรงงานนี้ นับว่าเป็นประโยชน์แก่ประชาชน เพราะเป็นจุดเริ่มต้น ที่ให้ความรู้ในการประกอบอาชีพ และประชาชนได้ยึดถือปฏิบัติต่อกันมา การก่อสร้างเสร็จในปี พ.ศ.2479 สิ้นค่าใช้จ่ายประมาณ 70,000 บาท

เมื่อสร้างเสร็จแล้ว จุดประสงค์แรกนั้นก็คือ ต้องการให้เป็นที่ประดิษฐานของพระสัพพัญญูเจ้า ซึ่งเป็นพระประธาน ในพระอุโบสถวัดสุปัฏนาราม และเนื่องจากพระอุโบสถหลังนี้ ค่อนข้างกว้างใหญ่ จึงใช้ประโยชน์ในการประกอบพุทธศาสนพิธี ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรมของสงฆ์โดยตรง หรือพิธีกรรมที่มีพุทธศาสนิกชนร่วมด้วยก็ตาม

ลักษณะของพระอุโบสถวัดสุปัฏนาราม เป็นอาคารขนาดใหญ่ กว้าง 20 เมตร ยาว 34 เมตร สูงจากพื้นถึงช่อฟ้า 22 เมตร สร้างคล้ายทรงพระราชนิยมสมัยรัชกาลที่ 3 (อิทธิพลจีน) คือตัวอาคารมีชาลา (ระเบียง) เสานางจรัล(เสานางเรียง) ทรงสี่เหลี่ยมล้อมรอบ ระหว่างเสาก่ออิฐเป็นรูปโค้งเรือนแก้ว (โค้งแหลมแบบโกธิคของฝรั่งเศส) ตัวอาคารไม่ทำหน้าต่าง แต่ทำเป็นประตูแทน โดยรอบทางด้านหน้าและด้านข้าง หลังคาทรงจั่วชั้นเดียวมีพะไร(ปีกนก) 2 ข้าง คลุมชาลา หน้าจั่วเรียบเต็มเสมอเสาด้านหน้า (คล้ายโบสถ์อิทธิพลจีนสมัยรัชกาลที่ 3 ) มีลายปูนปั้น เป็นลายไทยผีมือช่างญวน (เป็นลายไทยที่ไม่มีเอกลักษณ์ของลายไทยอยู่เลย ตัวลายรีบ ช่องไฟกว้าง ไม่ได้สัดส่วน) ช่อฟ้ารวยลำยองเป็นรูปพญานาคแบบญวน เชิงบันไดทั้ง 4 ด้าน ปั้นปูนรูปสิงโตหมอบยิ้ม อยู่มุมละ 1 ตัว ซึ่งแตกตางไปจากโบสถ์อื่นๆ ที่นิยมทำพญานาคเฝ้าบันได ส่วนที่หน้าพระอุโบสถ มีจารึกโบราณสมัยขอมหลายชิ้น เช่น จารึกถ้ำหมาใน ทับหลัง เฉพาะทับหลัง กล่าวกันว่า เป็นทับหลังที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย (พุทธศตวรรษที่ 12-13)
0/5000
จาก: -
เป็น: -
ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 1: [สำเนา]
คัดลอก!
CORGI-WAT woraviharn-Patna- Suki na woraviharn pat Temple. Pat CORGI Temple Road, amphur Muang, Ubon Ratchathani (Mun River which flows through the South of Ubon Ratchathani town), there are 38 square meters space 21 acres is the first Temple temple of Ubon Ratchathani province. There is a monastery Temple state capital Trivandrum class. วัดสุปัฏนาราม สร้างในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โดยได้เริ่มสร้างวัดในปี พ.ศ.2393 และสร้างเสร็จ พ.ศ.2396 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า "วัดสุปัฏนาราม อันหมายถึง วัดที่มีสถานที่ตั้งเหมาะสมเป็น ท่าเรือที่ดี " ซึ่งสภาพของที่ตั้งวัดขณะนั้นเป็นที่เงียบสงัด เหมาะที่จะบำเพ็ญศาสนกิจ สะดวกในการออกบิณฑบาต ที่ไม่ไกลอยู่ติดกับฝั่งลำน้ำมูล และเมื่อสร้างวัดเสร็จแล้ว จงไปอาธนา ท่านพนฺธุโล (ดี) มาครองวัดสุปัฏนาราม และ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทาน ทรัพย์ส่วนพระองค์ ดังนี้1. พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ 10 ชั่ง ( 800 ) บาท2. ตั้งนิตยภัตแก่เจ้าอาวาส เดือนละ 8 บาท3. จัดให้มีเลกวัด ( คนทำงานประจำวัด 60 คน) สิ่งสำคัญภายในวัดสุปัฎนารามวรวิหาร พระอุโบสถวัดสุปัฏรารามวรวิหาร ตัวพระอุโบสถที่สร้างขึ้นแต่ดั่งเดิม สร้างขึ้นด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.4) ซึ่งพระอุโบสถหลังเดิมนั้น มีความยาว 11 วา 2 ศอก กว้าง 8 ในขณะนั้น เสาไม้แก่นก่ออิฐโอกเสา หลังคาลดเป็น 2 ชั้น มุงด้วยกระเบื้องไม้ มีช่อฟ้าใบระกาประดับกระจก หน้าบันด้านตะวันออกสลักลายเครือ ตะวันตกสลักลายดอกไม้ พื้นถมดินปูด้วยกระเบื้องดินเผา และต่อมาพระอุโบสถหลังนี้ก็ได้ผุพังลง อีกทั้งบริเวณด้านหน้านั้นแคบ ไม่พอแก่กองทหาร กองตำรวจ กองลุกเสือ ที่ตั้งแถวในการทำพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาประจำปี
ต่อมาเจ้าอาวาสรูปที่ 7 สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) สมัยดำรงสมณศักดิ์ที่พระพระราชมุณี เป็นเจ้าคณะมณฑลอุบลราชธานี จึงได้นิมนต์พระมหาเถระ ข้าราชการ คหบดี หลายฝ่ายได้เข้าร่วมประชุมปรึกษาหารือกัน และเห็นควรรื้อถอนพระอุโบสถหลังเก่าออก ปลูกสร้างใหม่ทดแทน ให้เกิดความมั่นคงถาวร โดยมีเหตุผล 2 ประการ คือ

1.ให้พ้นทาง หากมีการตัดถนนในอนาคต
2. ให้พ้นตลิ่งฝั่งแม่น้ำมูล โดยให้หันพระอุโบสถลงสู่แม่น้ำ (ทิศใต้)

ซึ่งพระอุโบสถมีขนาดกว้าง 20 เมตร ยาว 34 เมตร สูง 22 เมตร ผู้อำนวยการสร้าง ได้แก่ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) สถาปนิกผู้ออกแบบ คือหลวงสถิตย์นิมานกาล (ชวน สุปิยพันธ์) ซึ่งเป็นช่างหลวงเป็นผู้ออกแบบ โดยเริ่มเตรียมวัสดุก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ.2460

วิธีการก่อสร้าง ได้ตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างฝ่ายสงฆ์และฝ่ายฆราวาสขึ้น โดยมีพระราชมุณีเจ้าคณะมณฑลเป็นประธาน หาทุนโดยเจ้าคณะมณฑลออกไปแสดงธรรมตามท้องที่ตำบลต่างๆ และให้สมุหเทศาภิบาล ซึ่งเป็นผู้ที่มีอำนาจฝ่ายปกครอง สั่งให้ราษฎรไปฟัง และสละเงินและปัจจัยต่างๆ บูชากัณฑ์เทศน์ ลงบัญชีรายได้ไว้เป็นตำบลๆไป

การก่อสร้างอิฐโบกปูน ครั้งแรกได้จ้างช่างจีนและช่างญวน มาทำเป็นตัวอย่าง แล้วคัดเลือกผู้สนใจร่วมทำ พอสามารถทำเองได้ ก็เลิกจ้างช่างชาวต่างชาติ ตอนแรกการใช้ปูนได้นำมาจากจังหวัดนครพนม ซึ่งอยู่ค่อนข้างไกลและราคาแพง ต่อมาได้สำรวจพบหินปูนชนิดเดียวกัน ในเขตตำบลตาลสุม (อำเภอตาลสุมในปัจจุบัน) อำเภอพิบูลมังสาหาร ในสมัยนั้น ซึ่งอยู่ใกล้แม่น้ำมูลสะดวกกว่า จึงให้ราษฎรทำปูนขาย ปูนที่ทำขึ้นแม้จะไม่ขาวนักแต่คุณภาพเท่ากับซีเมนต์

เนื่องจากการก่อสร้าง จะต้องสิ้นเปลืองวัสดุอุปกรณ์มากมาย และสมัยนั้น ยังไม่มีผู้ที่ทำไว้จำหน่ายเหมือนปัจจุบัน จึงได้ตั้งโรงงานช่างขึ้น แล้วสอนแบบก่อสร้าง สอนวิชาปั้นและก่อเตาเผาอิฐ สอนวิธีสีข้าว โดยวัดเป็นผู้ควบคุมดูแล เจ้าหน้าที่บ้านเมืองคือสมุหเทศบาล ผู้ว่าราชการจังหวัด และข้าราชการให้การสนับสนุนจน ได้รับความสำเร็จในที่สุด และการตั้งโรงงานนี้ นับว่าเป็นประโยชน์แก่ประชาชน เพราะเป็นจุดเริ่มต้น ที่ให้ความรู้ในการประกอบอาชีพ และประชาชนได้ยึดถือปฏิบัติต่อกันมา การก่อสร้างเสร็จในปี พ.ศ.2479 สิ้นค่าใช้จ่ายประมาณ 70,000 บาท

เมื่อสร้างเสร็จแล้ว จุดประสงค์แรกนั้นก็คือ ต้องการให้เป็นที่ประดิษฐานของพระสัพพัญญูเจ้า ซึ่งเป็นพระประธาน ในพระอุโบสถวัดสุปัฏนาราม และเนื่องจากพระอุโบสถหลังนี้ ค่อนข้างกว้างใหญ่ จึงใช้ประโยชน์ในการประกอบพุทธศาสนพิธี ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรมของสงฆ์โดยตรง หรือพิธีกรรมที่มีพุทธศาสนิกชนร่วมด้วยก็ตาม

ลักษณะของพระอุโบสถวัดสุปัฏนาราม เป็นอาคารขนาดใหญ่ กว้าง 20 เมตร ยาว 34 เมตร สูงจากพื้นถึงช่อฟ้า 22 เมตร สร้างคล้ายทรงพระราชนิยมสมัยรัชกาลที่ 3 (อิทธิพลจีน) คือตัวอาคารมีชาลา (ระเบียง) เสานางจรัล(เสานางเรียง) ทรงสี่เหลี่ยมล้อมรอบ ระหว่างเสาก่ออิฐเป็นรูปโค้งเรือนแก้ว (โค้งแหลมแบบโกธิคของฝรั่งเศส) ตัวอาคารไม่ทำหน้าต่าง แต่ทำเป็นประตูแทน โดยรอบทางด้านหน้าและด้านข้าง หลังคาทรงจั่วชั้นเดียวมีพะไร(ปีกนก) 2 ข้าง คลุมชาลา หน้าจั่วเรียบเต็มเสมอเสาด้านหน้า (คล้ายโบสถ์อิทธิพลจีนสมัยรัชกาลที่ 3 ) มีลายปูนปั้น เป็นลายไทยผีมือช่างญวน (เป็นลายไทยที่ไม่มีเอกลักษณ์ของลายไทยอยู่เลย ตัวลายรีบ ช่องไฟกว้าง ไม่ได้สัดส่วน) ช่อฟ้ารวยลำยองเป็นรูปพญานาคแบบญวน เชิงบันไดทั้ง 4 ด้าน ปั้นปูนรูปสิงโตหมอบยิ้ม อยู่มุมละ 1 ตัว ซึ่งแตกตางไปจากโบสถ์อื่นๆ ที่นิยมทำพญานาคเฝ้าบันได ส่วนที่หน้าพระอุโบสถ มีจารึกโบราณสมัยขอมหลายชิ้น เช่น จารึกถ้ำหมาใน ทับหลัง เฉพาะทับหลัง กล่าวกันว่า เป็นทับหลังที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย (พุทธศตวรรษที่ 12-13)
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 2:[สำเนา]
คัดลอก!
- Measurement Supattanaram Worawihan -
- measuring Supattanaram Worawihan. Street Wat Patna F., Muang. Ratchathani (banks of the river. Which runs through the south of downtown Salt Lake City) with an area of 21 acres, 38 square meters, is a fair settlement of the First Temple in Ubon Ratchathani. As a third grade royal temple Wat Ram Patna. Built during the reign of Mongkut Rama 4 was built in the year 2393 and completed in 2396 Mongkut ordered King called. "Ram temple Supattanaram which means that there is a suitable location at the harbor" in which the condition of the measure while it was quiet. Ideal to practice their religion Ease of alms The distance is adjacent to the Mun River. The building is finished, you go ah Tana May Allah Hu Loa (good) win Supattanaram Ram Temple and King Mongkut. Of his property as follows: 1. Royal scale of his property 10 (800) baht 2. Nitipat pastor to eight baht per month 3. Provide Lake Temple (Temple of workers 60 people) said the problem appears important measure Naram. Wat Thai temple Patna Worawiharn. The temple was built but traditional. Built by King of his property. Of Mongkut (Rama. 4), the original temple is 11 meters long, 2 feet wide and 8, while the brick pillars heartwood Oak poles with thatched roof a two-story wooden tiles. There Chofah toothlike ridges on the sloping edges of a gable glass The east pediment etched Network West carved floral The soil is covered with terracotta tiles. And subsequently the temple after it disintegrated into this. The front is narrow Not enough troops to police the Tigers pile up in the Baptist Tืangmprapipaฒnssatia year later, the pastor Figure 7 Wirawong King (Martin canals overthrew fat) served as priest at the ancient royal Hamdan case. Ubon Ratchathani province as primate Maha Thera was invited to attend the official errata several parties have discussed. And agreed to demolish the old temple. Building new renewable The permanent stability are two main reasons : 1. the way. If the road in two. Away the waterline river data To turn the temple into the river. (South) of the temple is 20 meters long, 34 meters wide and 22 meters high, a producer include King Wirawong (Martin canals overthrew fat) architecture. I came upon a new static (Chuan Su Memorial Union), which was a royal designs. By preparing materials since. 2460 Construction Method Has set up a joint committee between the clergy and the lay-up. The Royal County is President Mugabe nee primate. Financed by the county primate to preach according to various local parish. The Lord Lieutenant Who is competent administrations. Ordered people to listen And taking money and various factors Bochakanฑsetsns The income account a district to the construction of the brick mortar. The first is hiring Chinese and Vietnamese technicians. Make an example Then select those interested in making You can do it myself He stopped hiring foreigners. At first, the use of cement is taken from Nakhon Phanom. Which is quite a long and expensive. The survey found the same type of limestone. In the district Tan Sum (Tan Sum District today) Phibunmangsahan district near the river in those days, much better. Thus making cement sales representatives Mortar made, although not white, but the quality of the cement due to the construction. Must waste materials, and those who do not like the current distribution. Has set up a factory technician And Teaching Building Teach and mold the brick kiln. How Rice The measure is overseen The collective municipal authorities Governor And government officials to support the Has been successful in the end And the plant This is a benefit to the public Since the beginning Awareness of occupation. And citizens have adhered to each other. The construction was completed in 2479, cost about 70,000 baht end when completed. The first objective is To make a statue of the enlightened prince. The principal Wat Ram temple in Patna. Since this temple rather large The advantage to engage in Buddhist ceremonies. Whether direct ecclesiastical rituals. Or a Buddhist rituals associated with any aspect of the Ram temple Supattanaram. The building is 20 meters long, 34 meters wide, large floor-to-22 meters, Sofa create a reign of His Majesty popular 3 (Chinese influence) is building an open verandah (balcony) pillar colonnade (Esanageriig) rectangular enclosure. Between the brick vaulted Ruankaew. (Gothic pointed arch of France), the building does not do windows. But as the door Around the front and sides. The roof is a single layer Pa income (wishbone), covered by two gables prosperity always smooth, full front pillar. (Similar to influence Chinese church reign 3) with stucco pattern Thailand's ghost for Vietnamese. (This is not unique to Thailand Thailand pattern is a pattern that I was not proportional spacing width) Chofah a Vietnamese dragon is pretty rich. The fourth side of the stairs stucco lion crouched smiling over 1 percent, which differed from other churches. The popular dragon guarding the stairs The front of the temple There are several inscriptions of ancient Khmer inscriptions, cave hyena as a lintel Lintel Lintel is said to be the oldest in the country. (12-13 centuries)




























การแปล กรุณารอสักครู่..
 
ภาษาอื่น ๆ
การสนับสนุนเครื่องมือแปลภาษา: กรีก, กันนาดา, กาลิเชียน, คลิงออน, คอร์สิกา, คาซัค, คาตาลัน, คินยารวันดา, คีร์กิซ, คุชราต, จอร์เจีย, จีน, จีนดั้งเดิม, ชวา, ชิเชวา, ซามัว, ซีบัวโน, ซุนดา, ซูลู, ญี่ปุ่น, ดัตช์, ตรวจหาภาษา, ตุรกี, ทมิฬ, ทาจิก, ทาทาร์, นอร์เวย์, บอสเนีย, บัลแกเรีย, บาสก์, ปัญจาป, ฝรั่งเศส, พาชตู, ฟริเชียน, ฟินแลนด์, ฟิลิปปินส์, ภาษาอินโดนีเซี, มองโกเลีย, มัลทีส, มาซีโดเนีย, มาราฐี, มาลากาซี, มาลายาลัม, มาเลย์, ม้ง, ยิดดิช, ยูเครน, รัสเซีย, ละติน, ลักเซมเบิร์ก, ลัตเวีย, ลาว, ลิทัวเนีย, สวาฮิลี, สวีเดน, สิงหล, สินธี, สเปน, สโลวัก, สโลวีเนีย, อังกฤษ, อัมฮาริก, อาร์เซอร์ไบจัน, อาร์เมเนีย, อาหรับ, อิกโบ, อิตาลี, อุยกูร์, อุสเบกิสถาน, อูรดู, ฮังการี, ฮัวซา, ฮาวาย, ฮินดี, ฮีบรู, เกลิกสกอต, เกาหลี, เขมร, เคิร์ด, เช็ก, เซอร์เบียน, เซโซโท, เดนมาร์ก, เตลูกู, เติร์กเมน, เนปาล, เบงกอล, เบลารุส, เปอร์เซีย, เมารี, เมียนมา (พม่า), เยอรมัน, เวลส์, เวียดนาม, เอสเปอแรนโต, เอสโทเนีย, เฮติครีโอล, แอฟริกา, แอลเบเนีย, โคซา, โครเอเชีย, โชนา, โซมาลี, โปรตุเกส, โปแลนด์, โยรูบา, โรมาเนีย, โอเดีย (โอริยา), ไทย, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์, การแปลภาษา.

Copyright ©2024 I Love Translation. All reserved.

E-mail: