After his Majesty hath LPA notices Lord Sri มิ์ radial heavy-duty Lord wonchaya in the King's son Crown Prince of Siam, seek out thankrap when the noble estate hotels the Royal family. Known abilities official King already. Gave the expatriated is clear then that the King had divorced with fisting radial heavy-duty มิ์ already.Sources in Thaivoicemedia that were disclosed to the Crown Prince vajirunhis of Siam is the desire to divorce with fisting radial heavy-duty มิ์ for a long time already. Back about those relatives fisting radial heavy-duty มิ์ Referencing King bonma in fraud scam, others, including pretending to be business which benefits liability and fisting radial heavy-duty did decline มิ์ thakap problems that can occur and therefore lead to divorce, such.“เรื่องนี้ไม่ใช่การกลั่นแกล้งด้วยเหตุเพราะว่า สมเด็จพระบรมฯทรงมีพระประสงค์ที่จะมีพระมเหสีใหม่แต่อย่างใด แต่เป็นเพราะประสงค์จะเคลียร์บ้านของพระองค์เองให้พร้อมสำหรับการขึ้นครองราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา รัชกาลที่ 9 ส่วนพระมเหสีพระองค์ใหม่จะต้องเป็นบุคคลที่เหมาะสมสำหรับการสถาปนาเป็นพระราชินีด้วย แต่ขณะนี้ยังไม่มีใครตอบได้ว่าเป็นใคร แต่เชื่อว่า พระองค์จะทรงอภิเษกสมรสเพื่อสถาปนาเป็นพระราชินีพระองค์ใหม่ ภายหลังจากที่ได้เสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว ไม่น่าที่จะดำเนินการก่อน” แหล่งข่าวระดับสูงกล่าวผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีหม่อมศรีรัศมิ์ จะเหมือนกับ หม่อมเบ็นซ์ หรือ คุณยุวธิดา ผลประเสริฐ หรือไม่ที่ต้องถูกขับให้ออกไปอยู่ต่างประเทศพร้อมกับพระโอรสทั้ง 4 พระองค์ แหล่งข่าวในราชสำนักกล่าวว่า แตกต่างกัน กรณีของ หม่อมศรีรัศมิ์นั้น เป็นเรื่องที่ตกลงกันได้ หม่อมศรีรัศมิ์เองก็ยอมรับว่าสมาชิกในครอบครัวสร้างความเสื่อมเสียให้กับสถาบันจริง หม่อมศรีรัศมิ์เองไม่ได้ทำผิดอะไร ตลอดเวลาที่อยู่ในตำแหน่งพระวรชายาก็ทรงวางองค์ได้อย่างเหมาะสม และปฎิบัติภารกิจได้อย่างดีเยี่ยม แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้นก็ยอมรับ และยังต้องดูแล พระองค์เจ้าทีปังกร ซึ่งไม่ทรงปกติด้วย อีกทั้ง หม่อมศรีรัศมิ์ ก็ไม่ได้คิดที่จะสู้หรือหนีไปไหน แต่ กรณีของ หม่อมเบนซ์นั้น เป็นที่ทราบกันว่า มีเรื่องนอกใจสมเด็จพระบรมฯ และไม่ได้เลี้ยงดูหม่อมหญิงสิริวัณวลี มหิดล อย่างดี ขณะเดียวกัน พระโอรสทั้ง `4 ก็เลือกที่จะไม่อยู่กับสมเด็จพระบรมฯด้วยผู้สื่อข่าวถามว่า การแอบอ้างสมเด็จพระบรมฯ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ เป็นไปได้หรือไม่ว่าพระองค์ทรงรับทราบมาก่อนหน้านี้ แหล่งข่าวกล่าวว่า ไม่ทราบ ไม่มีใครตอบได้ แต่ที่ทรงออกมาชะล้างในช่วงนี้ ก็อย่างที่กล่าวไปแล้วคือการเตรียมพระองค์สำหรับการเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป และคิดว่า พระองค์ทรงรอจังหวะเวลาในช่วงที่รัฐบาลเป็นรัฐบาลทหารด้วย เนื่องจาก หากกระทำในช่วงที่เป็นรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง หรือ เป็นรัฐบาลประชาธิปไตยอาจจะเกิดความระส่ำระสายจนเอาไม่อยู่ก็เป็นได้“และแน่นอนว่าการสถาปนากษัตริย์พระองค์ใหม่ก็น่าจะทำให้แล้วเสร็จภายในรัฐบาลทหาร ไม่น่าจะไปถึงรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะการควบคุมทำได้ยาก ซึ่งตอนนี้ ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็ล้วนรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท สมเด็จพระบรมฯ” แหล่งข่าวกล่าวแหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า ถึงตอนนี้คงจะชัดเจนเรื่องข่าวลือมาตลอดว่า มีความขัดแย้งกันระหว่าง สมเด็จพระบรมฯ กับ สมเด็จพระเทพฯ ที่จะขึ้นเป็นมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 10 จะเห็นว่า ตอนนี้พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทั้งหมด ก็ได้ทรงโปรดเกล้าฯพระราชทานให้ สมเด็จพระบรมฯ ทรงเสด็จฯประกอบพระราชกรณียกิจทั้งหมดแล้ว สมเด็จพระเทพฯ ก็ทรงปฎิบัติพระราชกรณียกิจในระดับรองลงมา และที่ผ่านมาไม่เคยมีสัญญาณใด ๆ เลยจากสมเด็จพระเทพฯ ที่จะทรงมีพระราชประสงค์ขึ้นครองราชย์แทนพี่ชาย เพราะนอกจากจะขัดต่อกฎมณเทียนบาลแล้ว สมเด็จพระบรมฯ ทรงมีสิทธิสมบูรณ์ถูกต้องตามหลักมณเทียรบาล และราชประเพณีทุกประการ ขณะเดียวกันเหล่าทัพในขณะนี้ก็มีเอกภาพและเตรียมพร้อมที่จะสถาปนาพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ผู้สื่อข่าวถามว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จะทรงสละราชสมบัติให้สมเด็จพระบรมฯได้เมื่อใด แหล่งข่าวระดับสูงในราชสำนัก บอกว่า ไม่มีใครกล้าที่จะถาม หรือ ตอบคำถามนี้ เพราะอาจจะเข้าข่าย 112 ได้ ต้องยอมรับว่า อาการประชวรของในหลวงนั้นถือว่าหนัก ด้วยทรงชราภาพมากแล้ว แต่บรรดาข้าราชบริพารทั้งหลาย ก็พยามถวายการรักษาอย่างเต็มที่เพื่อให้พระองค์มีพระชนมายุได้มากกว่า 120 ปี ตามพระราชประสงค์ ที่เคยตรัสไว้ จึงไม่มีใครกล้าที่จะพูดเรื่องนี้“แม้ว่าสักวันหนึ่ง พระองค์จะสวรรคตจริงๆ แต่ก็คงจะไม่ประกาศให้ประชาชนรับรู้ในทันที ต้องเตรียมความพร้อมในทุกๆ ด้านให้เรียบร้อยก่อนถึงจะประกาศได้ ส่วนพระอาการของ สมเด็จพระนางเจ้าฯ นั้นขณะนี้ก็ทรงทำกายภาพบำบัดทุกวัน จากอาการอัมพาตของร่างกายด้านซ้าย แต่พระอาการก็ดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งเรื่องนี้แพทย์ที่ถวายการรักษาทั้งสองพระองค์ก็ได้ถวายการดูและเป็นอย่างดีตลอดเวลาไม่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด”แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวกล่าว ยอมรับการบังคับใช้กฎหมาย 112 ในขณะนี้ว่าได้สร้างความเสียหายกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างมากโดยเฉพาะกับประชาชนที่เพียงแค่การวิพากษ์วิจารณ์ หรือตั้งคำถามอย่างมีเหตุผล ไม่ได้ใช้คำรุนแรง แต่กรณีการแอบอ้างสถาบันฯเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ หรือ เพื่อข่มขู่ คนอื่นอันนี้เป็นปัญหาที่ต้องใช้ ม.112 อย่างเข้มงวดและจริงจัง ซึ่งเป็นเรื่องที่ สมเด็จพระบรมฯทรงห่วงปัญหามากกว่าการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมีเหตุผล
“ถึงที่สุดแล้วเชื่อว่า เมื่อสมเด็จพระบรมฯ เสด็จขึ้นครองราชย์ คงจะมีการปรับปรุงทบทวนการบังคับใช้ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ขณะเดียวกัน จะทำให้ทุกหน่วยงานใด หรือ โครงการใดที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ก็ต้องทำให้เกิดความโปร่งใส ไม่มีการแอบอ้างเพื่อหาผลประโยชน์ เชื่อว่า หลายโครงการ หรือ หลายหน่วยงาน ที่มีความไม่ชอบมาพากลอยู่ คงร้อน ๆ หนาวๆ กับเรื่องนี้เหมือนกัน” แหล่งข่าวระดับสูงกล่าว
การแปล กรุณารอสักครู่..
