ประวัติความเป็นมาของเหรียญกษาปณ์ โดย นายพนม บุญญ์ไพรตั้งแต่สมัยกรุงสุโ การแปล - ประวัติความเป็นมาของเหรียญกษาปณ์ โดย นายพนม บุญญ์ไพรตั้งแต่สมัยกรุงสุโ อังกฤษ วิธีการพูด

ประวัติความเป็นมาของเหรียญกษาปณ์ โด

ประวัติความเป็นมาของเหรียญกษาปณ์ โดย นายพนม บุญญ์ไพร

ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยสมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงธนบุรี เรื่อยมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เงินตราที่ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้านั้น เป็นเงินกลมที่เรียกกันว่า “เงินพดด้วง” และมีลักษณะคล้ายคลึงกันมาโดยตลอด จะแตกต่างกันบ้างในรายละเอียดและตราประจำรัชกาลเท่านั้น ครั้นพอถึงในสมัยรัชกาลที่ 4 จึงเริ่มมีการผลิตเหรียญกษาปณ์แบบมาตรฐานสากลขึ้น เนื่องจากมีการขยายตัวทางการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ จึงมีการนำเหรียญแบนเข้ามา และได้รับความนิยมในระบบเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก ประกอบกับเงินพดด้วงผลิตได้ไม่เพียงพอกับความต้องการกับทั้งมีการปลอมแปลงกันมาก จึงทำให้การผลิตเงินพดด้วงลดน้อยลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็มีประกาศเลิกใช้อย่างถาวรในสมัยรัชกาลที่ 5 หลังจากที่ใช้กันมาเป็นเวลากว่า 600 ปี
การผลิตเหรียญกษาปณ์ตามแบบมาตรฐานสากลนี้โดยพระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้ทดลองผลิตเหรียญกษาปณ์ซึ่งทำด้วยมือขึ้น ด้วยวิธีทำให้โลหะเงินให้เป็นแผ่นแบน ตัดเป็นชิ้นกลมให้ได้ขนาดและน้ำหนัก แล้วตีตราประทับ (ระหว่างรอเครื่องจักรผลิตเหรียญจากประเทศอังกฤษ) แต่ผลิตจำนวนไม่มากและไม่ค่อยเรียบร้อยจึงยุติลง หลังจากเครื่องจักรผลิตเหรียญส่งมาถึง ได้มีการจัดตั้งโรงงานผลิตเหรียญด้วยเครื่องจุกรขึ้น โดยได้รับพระราชทานนามว่า “โรงกสาปน์สิทธิการ” และเริ่มผลิตเหรียญกษาปณ์ด้วยเครื่องจักรขึ้น เหรียญแรกคือ “เหรียญบรรณาการ” แต่ก็เลิกเสียเพราะผลิตในแต่ละวันได้ไม่มากและไม่เพียงพอ
ต่อมาใน พ.ศ. 2405 มีการผลิตกระแปะขึ้นใช้อีกอย่างหนึ่ง โดยเลียนแบบกระแปะของชาวจีนและญวน เป็นเหรียญดีบุกผสมทองแดง ลักษณะกลมแบน ผิวเกลี้ยง กระแปะนี้มีตัวเลขและตัวหนังสือบอกราคาอยู่ถึง 3 ภาษา คือ ไทย จีน โรมัน จึงอาจจะกล่าวได้ว่ากระแปะสมัยนี้จัดเป็นเงินตรานานาชาติ เพราะมีถึง 3 ภาษา นอกจากนี้ยังมีการใช้ทองคำเป็นสื่อกลางในการแปลงเปลี่ยนสินค้าอีกด้วย มีการผลิตทองแปหรือเหรียญทองคำ ราคาทศ (แปดบาท) พิศ (สี่บาท) พัดดึงส์ (สิบสลึง) เป็นต้น และยังมีการผลิตเหรียญกษาปณ์ ทองคำ เงิน ทองแดง ตราพระมหามงกุฎ พระแสงจักร อีกหลายครั้ง หลายราคาด้วย
ใน ปี พ.ศ. 2407 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงมีพระชนมพรรษาครบ 60 พรรษา พระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้ผลิตเหรียญตรา “พระมหาพิชัยมงกุฎ” ขึ้น เป็นเหรียญทองคำและเงินจเพื่อพระราชทานแก่กระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการ ซึ่งอาจจะนับว่าเหรียญตราฯ นี้ ผลิตขึ้นเป็นเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเหรียญแรกก็ว่าได้
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระองค์ได้โปรดฯ ให้ผลิตเงินเหรียญขึ้นใช้ใน พ.ศ. 2411 เป็นเหรียญดีบุกราคาโสฬส นอกจากนี้ยังมีการผลิตเหรียญเงินตราพระเกี่ยวยอด เหรียญเงินตราแผ่นดิน (ตราอาร์ม) ราคาบาท สลิง และเฟื้อง เหรียญทองแดง จปร. เหรียญทองแดงตราพระรูป (พระสยามเทวาธิราช) ราคาซีก เสี้ยว อัฐ และโสฬส
พ.ศ.2451 มีการผลิตเหรียญสตางค์ทองขาว (นิกเกิล) และทองแดง ซึ่งมีลักษณะแปลกไป คือ เป็นเหรียญกลมแบนที่มีรูตรงกลาง หรือที่มักเรียกกันว่า “สตางค์รู” โดยมีลักษณะด้านหน้าเป็นลายอุณาโลมมีคำว่าสยามรัฐ และตัวเลขบอกราคา ด้านหลังเป็นรูปจักร 8 แฉก และบอกปีที่ผลิต
พ.ศ. 2452 พระองค์ทรงสั่งเหรียญเงินบาทจากโรงกษาปณ์ปารีส ประเทศผรั่งเศส เรียกว่า “เหรียญเงินบาทจุฬาลงกรณ์สยามินทร์” ซึ่งโปรดให้ทำขึ้นเพื่อเตรียมใช้ตามพระราชบัญญัติทองคำ แต่ยังมิทันออกใช้ พระองค์ก็ทรงเสด็จสวรรคตเสียก่อน จึงนำเหรียญนี้มาพระราชทานเป็นที่ระลึกในงานพระเมรุพระบรมศพของพระองค์แทน
นอกจากนี้ยังมีเงินที่ใช้ในโรงบ่อนอีกด้วย คือ เหรียญเงินรูปถ้วยหรือเหรียญเงินงอ เป็นเหรียญสลึงกับเฟื้องที่นายบ่อนนำมาทุบให้งอ เพื่อสะดวกในการใช้ขอเกี่ยว และอีกชนิดคือเงินปี้
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ตอนต้น ยังคงใช้เหรียญกษาปณ์ที่ผลิตขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งยังคงมีมากเพียงพอ จนถึง พ.ศ. 2456 พระองค์จึงโปรดแกล้าฯ ให้ออกแบบเหรียญเงินขึ้นใหม่ นอกจากนี้มีการผลิตเหรียญสตางค์ทองขาวแบบมีรูตรงกลางขึ้นอีก โดยมีลักษณะเช่นเดียวกับในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่ก็จะแตกต่างกันในรายละเอียดเล็กน้อย เช่น เปลี่ยนปีที่ผลิตจากรัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.) มาเป็นพุทธศักราช (พ.ศ.)
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงโปรดฯ ให้ผลิตเหรียญสตางค์ ทองขาวขึ้นใน พ.ศ. 2469 ตามแบบสตางค์รูเหมือนในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่แตกต่างกันในรายละเอียดบ้างเช่น ลักษณะของจักรนี้จะมีแฉกแบบแปลกออกไป ใน พ.ศ. 2472 โปรดเกล้าฯ ให้ผลิตเหรียญเงิน 5 ส.ต. และ 20 ส.ต. ขึ้น โดยมีด้านหน้าเป็นพระบรมรูปครึ่งพระองค์ ด้านหลังเป็นรูปช้างเฝือก
ในสมัยพระบาทสามเด็จพระเจ้าอยู่หัวอนันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ตอนต้น ยังคงมีการผลิตเหรียญสตางค์รูทองขาว (นิกเกิล) ใช้ โดยมีลักษณะใกล้เคียงกับสมัยก่อน ๆ แต่ต่อมากการผลิตสตางค์รูจะมีลวดลายแตกต่างออกไปเช่น ด้านหน้าเปลี่ยนจากลายอุณาโลม มาเป็นลายกนกไทย และลายกระหนกแบบลายบัว กระหนกแข้งสิงห์ และเปลี่ยนคำว่าสยามรัฐมาเป็นรัฐบาลไทย เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการผลิตเหรียญสตางค์ทองแดงราคาครึ่งสตางค์ขึ้นเป็นครั้งแรก แต่ไม่เป็นที่นิยมของประชาชน
พ.ศ. 2489 มีการผลิตเหรียญดีบุกราคาสตางค์แบบลักษณะไม่มีรูตรงกลาง ด้านหน้าเป็นพระบรมรูปเมื่อทรงพระเยาว์ ด้านหลังเป็นรูปพระครุฑพ่าห์ ซึ่งจะแตกต่างจากสมัยก่อนที่เป็นรูปช้าง

ในสมัยพระราบสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เริ่มมีการผลิตเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนในรัชสมัยของพระองค์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2493 เป็นเหรียญสตางค์ทองแดงและดีบุก ลักษณะกลมแบนโดยไม่มีรูตรงกลางด้านหน้าเป็นพระรมรูป ด้านหลังเป็นตราแผ่นดิน พ.ศ. 2515 มีการผลิตเหรียญกษาปณ์นิเกิลราคา 5 บาท ออกใช้หมุนเวียนแทนธนบัตรชนิดราคา 5 บาท มีลักษณะเป็น 9 เหลี่ยม และได้ผลิตออกใช้จนถึง พ.ศ. 2520 จึงเลิกผลิตเพราะมีการปลอมแปลงกันมาก จึงได้มีการผลิตเหรียญทองขาวสอดไส้ทองแดงราคา 5 บาทขึ้นแทน และเป็นเหรียญแบบแรกที่ใช้โลหะอันเป็นชั้น ขอบเหรียญมีคำว่า “กองกษาปณ์ กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง” ลักษณะส่วนใหญ่ของเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนในสมัยนี้ จะเป็นเหรียญกลมไม่มีรูตรงกลาง ด้านหน้าเป็นพระบรมรูป ส่วนหลังมีหลายรูปแบบ เช่น
0/5000
จาก: -
เป็น: -
ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 1: [สำเนา]
คัดลอก!
The history of the coin by Mr. Panom BunphraiSince the Sukhothai era Ayutthaya period Thonburi takes up until early Rattanakosin money that is used as a medium for the exchange of goods, it is a round silver, also known as "money photduang" and has a similar style and always. What will be different in detail and during his reign, seals only. But enough, in the reign of 4 started with a standard universal coin production due to expansion through trade with foreign countries. It has a flat coin and gained popularity in the economy is extremely. Make money with photduang produced insufficient demand to be forged together. Make money photduang production decreased gradually until it finally was declared permanently disabled in the reign of 5 after over 600 years.การผลิตเหรียญกษาปณ์ตามแบบมาตรฐานสากลนี้โดยพระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้ทดลองผลิตเหรียญกษาปณ์ซึ่งทำด้วยมือขึ้น ด้วยวิธีทำให้โลหะเงินให้เป็นแผ่นแบน ตัดเป็นชิ้นกลมให้ได้ขนาดและน้ำหนัก แล้วตีตราประทับ (ระหว่างรอเครื่องจักรผลิตเหรียญจากประเทศอังกฤษ) แต่ผลิตจำนวนไม่มากและไม่ค่อยเรียบร้อยจึงยุติลง หลังจากเครื่องจักรผลิตเหรียญส่งมาถึง ได้มีการจัดตั้งโรงงานผลิตเหรียญด้วยเครื่องจุกรขึ้น โดยได้รับพระราชทานนามว่า “โรงกสาปน์สิทธิการ” และเริ่มผลิตเหรียญกษาปณ์ด้วยเครื่องจักรขึ้น เหรียญแรกคือ “เหรียญบรรณาการ” แต่ก็เลิกเสียเพราะผลิตในแต่ละวันได้ไม่มากและไม่เพียงพอ Later, in the more Ginkgo has been manufacturing 2405 (1862) used one. By mimic the action of Ginkgo, Chinese and Vietnamese as a coin dibuk mixed copper flat round surface characteristics; Take this number and post a notice of the price is up to 3 languages: Thai, Chinese, Roman, it might be said that this is the modern Ginkgo from international currency because there are up to 3 languages has also used gold as a medium of exchange conversion as well. Gold coins have been produced or thongpae. Price's (eight baht) crazy (four baht), phatdueng (tenth ¼ of 1 baht), etc., and there are also producing coin. Gold, silver, copper, seal of the Crown of light, many, many times with a machine.ใน ปี พ.ศ. 2407 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงมีพระชนมพรรษาครบ 60 พรรษา พระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้ผลิตเหรียญตรา “พระมหาพิชัยมงกุฎ” ขึ้น เป็นเหรียญทองคำและเงินจเพื่อพระราชทานแก่กระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการ ซึ่งอาจจะนับว่าเหรียญตราฯ นี้ ผลิตขึ้นเป็นเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเหรียญแรกก็ว่าได้ In the reign of King Chulalongkorn King Rama v has produced more coins, prot is used in a Tin Medal, an obsolete unit of price-2411 (1868) There is also production of coins of monetary amounts. Coins, currency and arms (coats arms) THB rope and fueang. Chapon bronze bronze coat reject (Phra Siam thewa works of) an obsolete unit of the notarization prices and masjidpurani slice. พ.ศ.2451 มีการผลิตเหรียญสตางค์ทองขาว (นิกเกิล) และทองแดง ซึ่งมีลักษณะแปลกไป คือ เป็นเหรียญกลมแบนที่มีรูตรงกลาง หรือที่มักเรียกกันว่า “สตางค์รู” โดยมีลักษณะด้านหน้าเป็นลายอุณาโลมมีคำว่าสยามรัฐ และตัวเลขบอกราคา ด้านหลังเป็นรูปจักร 8 แฉก และบอกปีที่ผลิต พ.ศ. 2452 พระองค์ทรงสั่งเหรียญเงินบาทจากโรงกษาปณ์ปารีส ประเทศผรั่งเศส เรียกว่า “เหรียญเงินบาทจุฬาลงกรณ์สยามินทร์” ซึ่งโปรดให้ทำขึ้นเพื่อเตรียมใช้ตามพระราชบัญญัติทองคำ แต่ยังมิทันออกใช้ พระองค์ก็ทรงเสด็จสวรรคตเสียก่อน จึงนำเหรียญนี้มาพระราชทานเป็นที่ระลึกในงานพระเมรุพระบรมศพของพระองค์แทนนอกจากนี้ยังมีเงินที่ใช้ในโรงบ่อนอีกด้วย คือ เหรียญเงินรูปถ้วยหรือเหรียญเงินงอ เป็นเหรียญสลึงกับเฟื้องที่นายบ่อนนำมาทุบให้งอ เพื่อสะดวกในการใช้ขอเกี่ยว และอีกชนิดคือเงินปี้
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ตอนต้น ยังคงใช้เหรียญกษาปณ์ที่ผลิตขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งยังคงมีมากเพียงพอ จนถึง พ.ศ. 2456 พระองค์จึงโปรดแกล้าฯ ให้ออกแบบเหรียญเงินขึ้นใหม่ นอกจากนี้มีการผลิตเหรียญสตางค์ทองขาวแบบมีรูตรงกลางขึ้นอีก โดยมีลักษณะเช่นเดียวกับในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่ก็จะแตกต่างกันในรายละเอียดเล็กน้อย เช่น เปลี่ยนปีที่ผลิตจากรัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.) มาเป็นพุทธศักราช (พ.ศ.)
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงโปรดฯ ให้ผลิตเหรียญสตางค์ ทองขาวขึ้นใน พ.ศ. 2469 ตามแบบสตางค์รูเหมือนในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่แตกต่างกันในรายละเอียดบ้างเช่น ลักษณะของจักรนี้จะมีแฉกแบบแปลกออกไป ใน พ.ศ. 2472 โปรดเกล้าฯ ให้ผลิตเหรียญเงิน 5 ส.ต. และ 20 ส.ต. ขึ้น โดยมีด้านหน้าเป็นพระบรมรูปครึ่งพระองค์ ด้านหลังเป็นรูปช้างเฝือก
ในสมัยพระบาทสามเด็จพระเจ้าอยู่หัวอนันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ตอนต้น ยังคงมีการผลิตเหรียญสตางค์รูทองขาว (นิกเกิล) ใช้ โดยมีลักษณะใกล้เคียงกับสมัยก่อน ๆ แต่ต่อมากการผลิตสตางค์รูจะมีลวดลายแตกต่างออกไปเช่น ด้านหน้าเปลี่ยนจากลายอุณาโลม มาเป็นลายกนกไทย และลายกระหนกแบบลายบัว กระหนกแข้งสิงห์ และเปลี่ยนคำว่าสยามรัฐมาเป็นรัฐบาลไทย เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการผลิตเหรียญสตางค์ทองแดงราคาครึ่งสตางค์ขึ้นเป็นครั้งแรก แต่ไม่เป็นที่นิยมของประชาชน
พ.ศ. 2489 มีการผลิตเหรียญดีบุกราคาสตางค์แบบลักษณะไม่มีรูตรงกลาง ด้านหน้าเป็นพระบรมรูปเมื่อทรงพระเยาว์ ด้านหลังเป็นรูปพระครุฑพ่าห์ ซึ่งจะแตกต่างจากสมัยก่อนที่เป็นรูปช้าง

ในสมัยพระราบสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เริ่มมีการผลิตเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนในรัชสมัยของพระองค์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2493 เป็นเหรียญสตางค์ทองแดงและดีบุก ลักษณะกลมแบนโดยไม่มีรูตรงกลางด้านหน้าเป็นพระรมรูป ด้านหลังเป็นตราแผ่นดิน พ.ศ. 2515 มีการผลิตเหรียญกษาปณ์นิเกิลราคา 5 บาท ออกใช้หมุนเวียนแทนธนบัตรชนิดราคา 5 บาท มีลักษณะเป็น 9 เหลี่ยม และได้ผลิตออกใช้จนถึง พ.ศ. 2520 จึงเลิกผลิตเพราะมีการปลอมแปลงกันมาก จึงได้มีการผลิตเหรียญทองขาวสอดไส้ทองแดงราคา 5 บาทขึ้นแทน และเป็นเหรียญแบบแรกที่ใช้โลหะอันเป็นชั้น ขอบเหรียญมีคำว่า “กองกษาปณ์ กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง” ลักษณะส่วนใหญ่ของเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนในสมัยนี้ จะเป็นเหรียญกลมไม่มีรูตรงกลาง ด้านหน้าเป็นพระบรมรูป ส่วนหลังมีหลายรูปแบบ เช่น
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 2:[สำเนา]
คัดลอก!
ประวัติความเป็นมาของเหรียญกษาปณ์ โดย นายพนม บุญญ์ไพร

ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยสมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงธนบุรี เรื่อยมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เงินตราที่ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้านั้น เป็นเงินกลมที่เรียกกันว่า “เงินพดด้วง” และมีลักษณะคล้ายคลึงกันมาโดยตลอด จะแตกต่างกันบ้างในรายละเอียดและตราประจำรัชกาลเท่านั้น ครั้นพอถึงในสมัยรัชกาลที่ 4 จึงเริ่มมีการผลิตเหรียญกษาปณ์แบบมาตรฐานสากลขึ้น เนื่องจากมีการขยายตัวทางการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ จึงมีการนำเหรียญแบนเข้ามา และได้รับความนิยมในระบบเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก ประกอบกับเงินพดด้วงผลิตได้ไม่เพียงพอกับความต้องการกับทั้งมีการปลอมแปลงกันมาก จึงทำให้การผลิตเงินพดด้วงลดน้อยลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็มีประกาศเลิกใช้อย่างถาวรในสมัยรัชกาลที่ 5 หลังจากที่ใช้กันมาเป็นเวลากว่า 600 ปี
การผลิตเหรียญกษาปณ์ตามแบบมาตรฐานสากลนี้โดยพระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้ทดลองผลิตเหรียญกษาปณ์ซึ่งทำด้วยมือขึ้น ด้วยวิธีทำให้โลหะเงินให้เป็นแผ่นแบน ตัดเป็นชิ้นกลมให้ได้ขนาดและน้ำหนัก แล้วตีตราประทับ (ระหว่างรอเครื่องจักรผลิตเหรียญจากประเทศอังกฤษ) แต่ผลิตจำนวนไม่มากและไม่ค่อยเรียบร้อยจึงยุติลง หลังจากเครื่องจักรผลิตเหรียญส่งมาถึง ได้มีการจัดตั้งโรงงานผลิตเหรียญด้วยเครื่องจุกรขึ้น โดยได้รับพระราชทานนามว่า “โรงกสาปน์สิทธิการ” และเริ่มผลิตเหรียญกษาปณ์ด้วยเครื่องจักรขึ้น เหรียญแรกคือ “เหรียญบรรณาการ” แต่ก็เลิกเสียเพราะผลิตในแต่ละวันได้ไม่มากและไม่เพียงพอ
ต่อมาใน พ.ศ. 2405 มีการผลิตกระแปะขึ้นใช้อีกอย่างหนึ่ง โดยเลียนแบบกระแปะของชาวจีนและญวน เป็นเหรียญดีบุกผสมทองแดง ลักษณะกลมแบน ผิวเกลี้ยง กระแปะนี้มีตัวเลขและตัวหนังสือบอกราคาอยู่ถึง 3 ภาษา คือ ไทย จีน โรมัน จึงอาจจะกล่าวได้ว่ากระแปะสมัยนี้จัดเป็นเงินตรานานาชาติ เพราะมีถึง 3 ภาษา นอกจากนี้ยังมีการใช้ทองคำเป็นสื่อกลางในการแปลงเปลี่ยนสินค้าอีกด้วย มีการผลิตทองแปหรือเหรียญทองคำ ราคาทศ (แปดบาท) พิศ (สี่บาท) พัดดึงส์ (สิบสลึง) เป็นต้น และยังมีการผลิตเหรียญกษาปณ์ ทองคำ เงิน ทองแดง ตราพระมหามงกุฎ พระแสงจักร อีกหลายครั้ง หลายราคาด้วย
ใน ปี พ.ศ. 2407 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงมีพระชนมพรรษาครบ 60 พรรษา พระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้ผลิตเหรียญตรา “พระมหาพิชัยมงกุฎ” ขึ้น เป็นเหรียญทองคำและเงินจเพื่อพระราชทานแก่กระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการ ซึ่งอาจจะนับว่าเหรียญตราฯ นี้ ผลิตขึ้นเป็นเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกเหรียญแรกก็ว่าได้
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระองค์ได้โปรดฯ ให้ผลิตเงินเหรียญขึ้นใช้ใน พ.ศ. 2411 เป็นเหรียญดีบุกราคาโสฬส นอกจากนี้ยังมีการผลิตเหรียญเงินตราพระเกี่ยวยอด เหรียญเงินตราแผ่นดิน (ตราอาร์ม) ราคาบาท สลิง และเฟื้อง เหรียญทองแดง จปร. เหรียญทองแดงตราพระรูป (พระสยามเทวาธิราช) ราคาซีก เสี้ยว อัฐ และโสฬส
พ.ศ.2451 มีการผลิตเหรียญสตางค์ทองขาว (นิกเกิล) และทองแดง ซึ่งมีลักษณะแปลกไป คือ เป็นเหรียญกลมแบนที่มีรูตรงกลาง หรือที่มักเรียกกันว่า “สตางค์รู” โดยมีลักษณะด้านหน้าเป็นลายอุณาโลมมีคำว่าสยามรัฐ และตัวเลขบอกราคา ด้านหลังเป็นรูปจักร 8 แฉก และบอกปีที่ผลิต
พ.ศ. 2452 พระองค์ทรงสั่งเหรียญเงินบาทจากโรงกษาปณ์ปารีส ประเทศผรั่งเศส เรียกว่า “เหรียญเงินบาทจุฬาลงกรณ์สยามินทร์” ซึ่งโปรดให้ทำขึ้นเพื่อเตรียมใช้ตามพระราชบัญญัติทองคำ แต่ยังมิทันออกใช้ พระองค์ก็ทรงเสด็จสวรรคตเสียก่อน จึงนำเหรียญนี้มาพระราชทานเป็นที่ระลึกในงานพระเมรุพระบรมศพของพระองค์แทน
นอกจากนี้ยังมีเงินที่ใช้ในโรงบ่อนอีกด้วย คือ เหรียญเงินรูปถ้วยหรือเหรียญเงินงอ เป็นเหรียญสลึงกับเฟื้องที่นายบ่อนนำมาทุบให้งอ เพื่อสะดวกในการใช้ขอเกี่ยว และอีกชนิดคือเงินปี้
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ตอนต้น ยังคงใช้เหรียญกษาปณ์ที่ผลิตขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งยังคงมีมากเพียงพอ จนถึง พ.ศ. 2456 พระองค์จึงโปรดแกล้าฯ ให้ออกแบบเหรียญเงินขึ้นใหม่ นอกจากนี้มีการผลิตเหรียญสตางค์ทองขาวแบบมีรูตรงกลางขึ้นอีก โดยมีลักษณะเช่นเดียวกับในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่ก็จะแตกต่างกันในรายละเอียดเล็กน้อย เช่น เปลี่ยนปีที่ผลิตจากรัตนโกสินทร์ศก (ร.ศ.) มาเป็นพุทธศักราช (พ.ศ.)
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงโปรดฯ ให้ผลิตเหรียญสตางค์ ทองขาวขึ้นใน พ.ศ. 2469 ตามแบบสตางค์รูเหมือนในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่แตกต่างกันในรายละเอียดบ้างเช่น ลักษณะของจักรนี้จะมีแฉกแบบแปลกออกไป ใน พ.ศ. 2472 โปรดเกล้าฯ ให้ผลิตเหรียญเงิน 5 ส.ต. และ 20 ส.ต. ขึ้น โดยมีด้านหน้าเป็นพระบรมรูปครึ่งพระองค์ ด้านหลังเป็นรูปช้างเฝือก
ในสมัยพระบาทสามเด็จพระเจ้าอยู่หัวอนันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ตอนต้น ยังคงมีการผลิตเหรียญสตางค์รูทองขาว (นิกเกิล) ใช้ โดยมีลักษณะใกล้เคียงกับสมัยก่อน ๆ แต่ต่อมากการผลิตสตางค์รูจะมีลวดลายแตกต่างออกไปเช่น ด้านหน้าเปลี่ยนจากลายอุณาโลม มาเป็นลายกนกไทย และลายกระหนกแบบลายบัว กระหนกแข้งสิงห์ และเปลี่ยนคำว่าสยามรัฐมาเป็นรัฐบาลไทย เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการผลิตเหรียญสตางค์ทองแดงราคาครึ่งสตางค์ขึ้นเป็นครั้งแรก แต่ไม่เป็นที่นิยมของประชาชน
พ.ศ. 2489 มีการผลิตเหรียญดีบุกราคาสตางค์แบบลักษณะไม่มีรูตรงกลาง ด้านหน้าเป็นพระบรมรูปเมื่อทรงพระเยาว์ ด้านหลังเป็นรูปพระครุฑพ่าห์ ซึ่งจะแตกต่างจากสมัยก่อนที่เป็นรูปช้าง

ในสมัยพระราบสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เริ่มมีการผลิตเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนในรัชสมัยของพระองค์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2493 เป็นเหรียญสตางค์ทองแดงและดีบุก ลักษณะกลมแบนโดยไม่มีรูตรงกลางด้านหน้าเป็นพระรมรูป ด้านหลังเป็นตราแผ่นดิน พ.ศ. 2515 มีการผลิตเหรียญกษาปณ์นิเกิลราคา 5 บาท ออกใช้หมุนเวียนแทนธนบัตรชนิดราคา 5 บาท มีลักษณะเป็น 9 เหลี่ยม และได้ผลิตออกใช้จนถึง พ.ศ. 2520 จึงเลิกผลิตเพราะมีการปลอมแปลงกันมาก จึงได้มีการผลิตเหรียญทองขาวสอดไส้ทองแดงราคา 5 บาทขึ้นแทน และเป็นเหรียญแบบแรกที่ใช้โลหะอันเป็นชั้น ขอบเหรียญมีคำว่า “กองกษาปณ์ กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง” ลักษณะส่วนใหญ่ของเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนในสมัยนี้ จะเป็นเหรียญกลมไม่มีรูตรงกลาง ด้านหน้าเป็นพระบรมรูป ส่วนหลังมีหลายรูปแบบ เช่น
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 3:[สำเนา]
คัดลอก!
The history of coins by Mr. Phnom merit, phrai

.Since the Sukhothai period the Ayutthaya period. สมัยกรุงธนบุรี up. The early Rattanakosin periods Money was used as a medium of exchange of goods. Money is round, called "silver".Is somewhat different in detail and exchange in the reign of only. When the reign 4 began mintage like international standards. Due to the expansion of trade with foreign countries.And popular in the economic system greatly. Accompanying with the silver produced, not enough to satisfy the needs with forged together. The production of silver decreased gradually.5 after use for more than 600 years
.According to international standards to produce coins by him please graciously. Trial produce coins handmade. How to make money with metal into flat sheets. Cut into pieces round to size and weight, and seal stamps.
การแปล กรุณารอสักครู่..
 
ภาษาอื่น ๆ
การสนับสนุนเครื่องมือแปลภาษา: กรีก, กันนาดา, กาลิเชียน, คลิงออน, คอร์สิกา, คาซัค, คาตาลัน, คินยารวันดา, คีร์กิซ, คุชราต, จอร์เจีย, จีน, จีนดั้งเดิม, ชวา, ชิเชวา, ซามัว, ซีบัวโน, ซุนดา, ซูลู, ญี่ปุ่น, ดัตช์, ตรวจหาภาษา, ตุรกี, ทมิฬ, ทาจิก, ทาทาร์, นอร์เวย์, บอสเนีย, บัลแกเรีย, บาสก์, ปัญจาป, ฝรั่งเศส, พาชตู, ฟริเชียน, ฟินแลนด์, ฟิลิปปินส์, ภาษาอินโดนีเซี, มองโกเลีย, มัลทีส, มาซีโดเนีย, มาราฐี, มาลากาซี, มาลายาลัม, มาเลย์, ม้ง, ยิดดิช, ยูเครน, รัสเซีย, ละติน, ลักเซมเบิร์ก, ลัตเวีย, ลาว, ลิทัวเนีย, สวาฮิลี, สวีเดน, สิงหล, สินธี, สเปน, สโลวัก, สโลวีเนีย, อังกฤษ, อัมฮาริก, อาร์เซอร์ไบจัน, อาร์เมเนีย, อาหรับ, อิกโบ, อิตาลี, อุยกูร์, อุสเบกิสถาน, อูรดู, ฮังการี, ฮัวซา, ฮาวาย, ฮินดี, ฮีบรู, เกลิกสกอต, เกาหลี, เขมร, เคิร์ด, เช็ก, เซอร์เบียน, เซโซโท, เดนมาร์ก, เตลูกู, เติร์กเมน, เนปาล, เบงกอล, เบลารุส, เปอร์เซีย, เมารี, เมียนมา (พม่า), เยอรมัน, เวลส์, เวียดนาม, เอสเปอแรนโต, เอสโทเนีย, เฮติครีโอล, แอฟริกา, แอลเบเนีย, โคซา, โครเอเชีย, โชนา, โซมาลี, โปรตุเกส, โปแลนด์, โยรูบา, โรมาเนีย, โอเดีย (โอริยา), ไทย, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์, การแปลภาษา.

Copyright ©2025 I Love Translation. All reserved.

E-mail: