จากการที่พลาสติกเข้ามามีบทบาทในชีวิตมากขึ้น ทำให้มีการใช้งานพลาสติกเป็นจำนวนมาก ปัญหาขยะพลาสติกจึงตามมาด้วย ทางเลือกหนึ่งในการแก้ไขคือการใช้พลาสติกชีวภาพซึ่งสามารถย่อยสลายได้ง่าย ในกระบาวนการผลิตพลาสติกชีวภาพนั้นมีการนำแป้งมาเป็นส่วนประกอบสำคัญ และจากการศึกษาเพิ่มเติมทำให้ทราบว่าเนื้อในของเมล็ดมะขามและเมล็ดลำไยคือแป้งที่สามารนำมาผลิตพลาสติกชีวภาพได้ อีกทั้งยังเป็นการนำสิ่งที่เหลือใช้มาทำให้เกิดประโยชน์ได้อีก
ทางคณะผู้จัดทำจึงต้องการศึกษาความสามารถในการทนต่อแรงดึงของพลาสติกชีวภาพที่ทำจากเนื้อในของเมล็ดมะขามและเมล็ดลำไย โดยการนำแป้งจากเนื้อในของเมล็ดมะขามและเมล็ดลำไยมาผสมรวมกับยางพารา , คอปเปอร์(II)คาร์บอเนต ,สารละลาย แอมโมเนียเข้มข้น และสารละลายกรดซัลฟูริกเจือจาง จะได้สารใหม่ โดยที่อัตราส่วนระหว่างเนื้อในของเมล็ดต่อยางพาราเป็น 1:1 และ 1:2 จากนั้นนำไปอบที่อุณหภูมิ 45 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 3 วัน นำมาตัดให้ได้ขนาด 5*6 เซนติเมตร จากนั้นนำไปทดสอบแรงดึงโดยเจาะรูตรงกลางแขวนปลายด้านหนึ่งกับตะขอเพื่อใช้เพิ่มน้ำหนักถุงทราย
อัตราส่วนระหว่างเนื้อในเมล็ดมะขามต่อยางพาราคือ 1: 2 คือพลาสติกชีวภาพที่สามารถทนต่อแรงดึงได้มากที่สุด เนื่องจากเนื้อในของเมล็ดมะขามนั้นคือแป้งจากเมล็ดมะขามประกอบด้วยโมเลกุล ที่เป็นสายโซ่ยาว แต่เมื่อมีการเติมสารที่มีโมเลกุลขนาดเล็กลงไป โมเลกุลขนาดเล็กเหล่านี้จะเป็นตัวเชื่อมโมเลกุลของแป้ง ทำให้แป้งเปลี่ยนสภาพเป็นของเหลวหนืด และมีความเข้มข้นที่เหมาะสม โมเลกุลของแป้งจะเรียงตัวเป็นแผ่นๆซ้อนกัน จนได้เป็นพลาสติกชีวภาพขึ้นมา และเมื่อมียางพาราจึงทำให้โมเลกุลมีความเหนียวมากขึ้น ดังนั้นเมื่ออัตราส่วนเพิ่มขึ้นความสามารถในการทนต่อแรงดึงจึงเพิ่มขึ้นตาม ส่วนพลาสติกชีวภาพจากเนื้อในของเมล็ดลำไยสามารถทนต่อแรงดึงได้น้อยกว่า เนื่องจากคุณภาพของแป้งที่ได้ต่ำกว่าเมล็ดมะขาม จึงทำให้ความสามารถในการทนต่อแรงดึงต่ำกว่าเมล็ดมะขาม
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า พลาสติกชีวภาพจากเนื้อในของเมล็ดมะขามมีความสามารถในการทนต่อแรงดึงสูงกว่าเนื้อในของเมล็ดลำไย และเมื่อเพิ่มปริมาณยางพาราจะทำให้ความสามารถในการทนต่อแรงดึงสูงขึ้น