ชาวนาคนหนึ่ง ได้รวบรวมทรัพย์สมบัติที่เขามีอยู่ เพื่อแบ่งให้ลูกชายสองคนที่โตเป็นหนุ่มแล้ว แต่อาศัยอยู่กับมารดาที่ต่างเมือง เขาเรียกลูกชายทั้งสองมาหา พร้อมกับพูดว่า
“พ่อเริ่มจะแก่แล้ว ไม่มีสมบัติอื่นใดให้เจ้า นอกจากที่ดิน 2 แปลง ข้าวเปลือก ข้าวสาร อีก 2 ยุ้งฉาง ทั้งหมดนี้พ่อจะยกให้เจ้าสองคน แบ่งกันคนละครึ่ง”
ฝ่ายพี่ชายได้ยินดังนั้น ก็พูดขึ้นว่า “ในฐานะที่ฉันเป็นพี่ ฉันควรจะมีสิทธิ์เลือกก่อน ฉันต้องการข้าวสาร และที่ดินที่ใกล้ถนน”
น้องชายพยักหน้าตกลง พ่อจึงได้จัดการแบ่งให้ทั้งสองตามความต้องการ
“เจ้าน้องชายเรามันโง่ ข้าวสารขายได้ราคาดีกว่าข้าวเปลือกและที่ดินใกล้ถนนก็ได้ราคาดีกว่า” พี่ชายรำพึงขณะที่กำลังขายข้าวสารและที่ดินทั้งหมด ได้เงินมามากมาย นำไปเที่ยวเตร่สนุกสนานโดยไม่คิดจะทำงาน
ข้างฝ่ายน้องชายก็ลงมือไถพรวนดิน ขุดบ่อน้ำ และแบ่งข้าวเปลือกออกเป็นสามส่วน ส่วนที่หนึ่งนำไปหว่านเพื่อเพาะปลูก ส่วนที่สองนำไปเลี้ยงไก่ที่เขาซื้อมาเพียงไม่กี่ตัว แต่ตอนนี้มันฟักไข่ออกมามากมาย และส่วนที่สามเขานำไปสีเป็นข้าวสารเพื่อเก็บไว้กิน และนำไปขาย เอาเงินไปซื้อปลาและหมูมาเลี้ยง เขานำเปลือกข้าวจากการสี มาทำเป็นรำไปเลี้ยงปลาในบ่อ และหมูอีก 2-3 ตัวในเล้า
เวลาผ่านไปหลายปี เงินทองของพี่ชายก็หมดลง เขาต้องอยู่อย่างอดอยาก แทบไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ ขณะที่น้องชายมีเงินเก็บมากมายจากการขายข้าว ขายไก่ ขายปลา และมีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ สามารถเลี้ยงพ่อผู้ชราได้อย่างมีความสุข
วันหนึ่งพี่ชายได้กลับมาหาพ่อที่บ้านเพื่อขอเงิน พ่อจึงเอ่ยกับลูกชายคนโตว่า “พ่อได้แบ่งสมบัติชิ้นสุดท้ายให้กับเจ้าทั้งสองไปแล้ว พ่อจึงไม่เหลือสมบัติใดๆ เลย ทั้งหมดที่เจ้าเห็นนี่เป็นของน้องชายเจ้า ไปขอเขาเถิด”
เมื่อพี่ชายได้ยินดังนั้นก็เกิดความรู้สึกละอายใจ เพราะเคยคิดว่าน้องชายของตนนั้นโง่ เขาจึงลาพ่อกลับไป และไม่หวนกลับมาอีกเลย
.......
คนมีความขยันหมั่นเพียร มีปัญญา ประกอบด้วยความไม่ประมาท ย่อมรักษาทรัพย์สมบัติของวงศ์ตระกูลไว้ได้ และเพิ่มพูนให้งอกงามไพบูลย์ยิ่งขึ้นไป ตรงข้ามกับคนที่เกียจคร้าน แถมไร้ปัญญา มีแต่ความประมาท ย่อมถึงกาลพินาศในที่สุด