Tuesday, May 29, 1937 2555.Marco Polo: the great traveler foreverMarco Polo: the great traveler forever The travel notes of Marco Polo (Marco Polo), which tells the story of remarkable and interesting in a territory that has never had any Westerner ever to come before the. As an inspiration to all modern era every time longer than 700 years have interest to travel to fascinating lands klaiphon to discover what's new. Christopher Columbus discovered America in the 15th century, inspired by the reading of Marco's travel log. Polo, who earned a reputation as a great traveler, forever.Marco Polo มาร์โค โปโล เกิดเมื่อปี 1254 ที่เมืองเวนิส บิดาชื่อ นิโคโล โปโล (Nicolo Polo) เป็นพ่อค้าที่ชอบออกไปค้าขายในต่างแดน ตอนที่มาร์โค โปโลเกิด พ่อและอา มัฟเฟโอ โปโล (Maffeo Polo) ได้ออกเดินทางไปค้าขายในแถบคาบสมุทรไครเมียร์ ทางตอนใต้ของประเทศยูเครนในปัจจุบัน ซึ่งในสมัยนั้นอยู่ในเขตอิทธิพลของมองโกลที่กำลังแผ่อำนาจจากเอเชียกลางมายังทวีปยุโรป ในปี 1260 ได้เกิดสงครามระหว่างหลานของเจงกีสข่าน 2 คน ทำให้พ่อและอาของมาร์โค โปโล ต้องเดินทางหลบสงครามไปที่เมืองบูคารา (Bukhara) ในประเทศอุซเบกิซสถานในปัจจุบัน ณ ที่นั้น พ่อและอาของมาร์โค โปโลได้พบกับทูตของกุบไลข่าน (Kublai Khan) (ค.ศ. 1214-1294) ซึ่งได้ชักชวนให้บุคคลทั้งสอง เดินทางไปเข้าเฝ้ากุบไลข่าน ผู้ซึ่งมีความปรารถนาที่จะรู้จักกับชาวละตินและศึกษาวัฒนธรรมของชาวละติน นิโคโล โปโลและน้องชายได้ตอบตกลงและได้เดินทางไปกรุงปักกิ่ง (หรือที่สมัยนั้นเรียกว่า คัมบาลุก “Cambaluc”) ทั้งสองได้เข้าเฝ้ากุบไลข่านในปี ค.ศ. 1266 มองโกลได้เข้าปกครองประเทศจีนและสถาปนาราชวงศ์หยวนขึ้นปกครองในปี ค.ศ. 1264 กุบไลข่านเป็นพระราชนัดดาของเจงกีสข่าน ในสมัยนั้นอาณาจักรของมองโกลได้แผ่ขยายออกไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาล กุบไลข่านเป็นผู้ที่สนใจใฝ่รู้เรื่องราวและความเชื่อของชาวยุโรปมาก จึงได้ขอให้นิโคโล โปโล และน้องชายเดินทางกลับไปยังบ้านเกิด เพื่อเข้าเฝ้าพระสันตปาปา และขอให้ส่งผู้มีความรู้ 100 คน และน้ำมันศักดิ์สิทธิ์จากวิหาร The Holy Sepulchre ในนครเยรูซาเลมกลับมาถวายพระองค์ New colony, Polo and his brother traveled back to t-town hometown Venice in years. 1269, Marco Polo, while the age of 15 years old have an opportunity to find a father for the first time. Devil da Marco Polo had died before the Hotel da Marco. Polo will return to little house. In 1271, Marco Polo, which at that time was 17 years of age were asked to travel the track and back to China with his father along with his statement that God krekkori 10 tapa Paris Mignon (Pope Gregory X) the Holy oil with two monks (who has fled back to after they leave a little.) ครอบครัวโปโลทั้ง 3 คนออกเดินทางจากนครเยรูซาเลมในปี ค.ศ. 1272 และใช้เวลาเดินทางนานเกือบ 3 ปีครึ่ง จึงเดินทางถึงเมืองชางตู (Shang-tu) ที่ประทับในฤดูร้อนของ กุบไลข่าน การเดินทางทางบกไปยังประเทศจีนในครั้งนี้ ครอบครัวโปโลได้เดินทางผ่านดินแดนต่างๆ มากมาย ได้แก่ อนาโตเลีย (เอเชียไมเนอร์) คอเคซัส ตะวันออกกลาง และเอเชียกลาง ก่อนที่จะข้ามที่ราบสูงพาเมียร์ (Pamir) ซึ่งมีความสูงกว่า 5,000 เมตร เป็นเสมือนหลังคาโลก มาร์โค โปโล ได้เล่าไว้ในบันทึกว่า ระหว่างที่เดินทางอยู่บนที่ราบสูงพาเมียร์ การจุดไฟหุงหาอาหารทำได้ยากมาก เนื่องจากจุดไฟไม่ค่อยติด บนท้องฟ้าก็ไม่ค่อยมีนกบินให้เห็น หลังจากที่สามารถปีนข้ามที่ราบสูงพาเมียร์ได้สำเร็จ ครอบครัวโปโลได้เดินทางข้ามทะเลทรายโกบี ซึ่งเป็นที่กล่าวขานถึงความน่ากลัวของภูตผีปีศาจ และความโหดร้ายของสภาพดินฟ้าอากาศ ภายหลังที่สามารถข้ามทะเลทรายโกบี ด่านสำคัญทางธรรมชาติด่านสุดท้ายได้สำเร็จ ครอบครัวโปโลก็สามารถเดินทางเข้าสู่เขตประเทศจีน (ตอนเหนือ) ซึ่งมาร์โค โปโล เรียกว่า คาเธย์ (Cathay) รวมระยะทางข้ามทวีปกว่า 5,600 ไมล์ ในฤดูร้อนของปี ค.ศ. 1275 ครอบครัวโปโลเดินทางถึงเมืองชางตู (ประมาณ 180 ไมล์จากกรุงปักกิ่ง) ที่ประทับฤดูร้อนของกุบไลข่าน และได้เข้าเฝ้ากุบไลข่านที่นั่น กุบไลข่านทรงให้ความเอ็นดู มาร์โค โปโล ซึ่งในขณะนั้นมีอายุได้ 21 ปี เป็นพิเศษ ทำให้มาร์โค โปโลได้มีโอกาสเข้าทำงานรับใช้กุบไลข่าน ในช่วงที่มองโกลปกครองประเทศจีน มองโกลให้ความไว้วางใจแก่ชาวต่างชาติมากกว่าคนจีน ภายหลังที่อยู่ประเทศจีนนานถึง 17 ปี ครอบครัวโปโลเริ่มเกิดความวิตกกังวลถึงอนาคตของพวกตน หากมีอะไรเกิดขึ้นกับกุบไลข่าน ซึ่งทรงชราภาพมากขึ้น (อายุใกล้ 80 พรรษา) ครอบครัวโปโลจึงได้เข้าไปกราบทูลกุบไลข่าน ขออนุญาตเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด ในตอนแรกกุบไลข่านไม่ทรงอนุญาต อย่างไรก็ดี ในปี ค.ศ. 1292 พระชายาของอาร์กุน (Arghun ) ข่านแห่งเปอร์เซีย ซึ่งเป็นเจ้าหญิงมองโกลสิ้นพระชนม์ อาร์กุนข่านจึงได้ส่งทูตมาขอให้กุบไลข่านส่งเจ้าหญิงมองโกลไปเป็นพระชายาองค์ใหม่ ครอบครัวโปโลจึงได้ขันอาสาพาเจ้าหญิงโคคาชิน (Kokachin) พระชนมายุ 17 พรรษาไปถวายให้แก่ข่านแห่งเปอร์เซีย กุบไลข่านจึงจำใจต้องอนุญาตให้ครอบครัวโปโลเดินทางนำเจ้าหญิงโคคาชินไปส่งให้ข่านแห่งเปอร์เซีย การเดินทางในครั้งนี้ได้ใช้เส้นทางเรือ โดยใช้เรือกำปั่นขนาดใหญ่ 14 ลำ บรรทุกผู้โดยสาร 600 คนเดินทางผ่านเกาะญี่ปุ่น อาณาจักรจามปา ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศเวียดนามในปัจจุบัน เกาะสุมาตรา เกาะนิโคบาร์ในมหาสมุทรอินเดีย เกาะลังกา เข้าสู่อ่าวเปอร์เซีย การเดินทางใช้เวลานานถึง 2 ปี ผู้โดยสารกว่า 600 คนเหลือชีวิตรอดถึงจุดหมายปลายทางได้เพียง 18 คน เนื่องจากโรคภัยไข้เจ็บ พายุ และการปล้นของโจรสลัด คณะผู้ติดตามและเจ้าหญิงโคคาชินได้เดินทางถึงเปอร์เซียในปี ค.ศ. 1294 เมื่อเดินทางถึงจึงทราบภายหลังว่า อาร์กุนข่านได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว เจ้าหญิงโคคาชินจึงได้เสกสมรสกับโอรสของอาร์กุนข่านแทน เป็นที่น่าเสียดายว่า เจ้าหญิงโคคาชินทรงใช้ชีวิตอยู่ที่เปอร์เซียได้เพียง 2 ปีก็สิ้นพระชนม์ ในระหว่างที่ครอบครัวโปโลพำนักอยู่ที่เปอร์เซียได้ทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ของกุบไลข่าน ภายหลังที่กุบไลข่านสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1294 อาณาจักรของมองโกลก็เริ่มเสื่อมอำนาจลงอย่างรวดเร็ว ในปี ค.ศ. 1368 มองโกลได้ถูกขับออกจากประเทศจีน The family traveled from Persia Polo land success.
การแปล กรุณารอสักครู่..
