The purchase of weapons in ASEAN situation."The Arms Race caused by circumstances (1) those countries must be the same enemies on both sides (2) must be added to the number of weapons or armed force battle a high rate, Pro Kon sudden accumulation of weapons, and (3) there must be a relationship-oriented response. cause the phenomenon to laugh security (Security Dilemma) that affect the stability of the region."ประเทศในภูมิภาคอาเซียนรวมถึงไทยมีการใช้จ่ายด้านงบประมาณทหารมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากการเติบโตด้านการทหารของจีน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค เพื่อถ่วงดุลอำนาจ และเป็นการปกป้องเส้นทางขนส่ง ท่าเรือ และเขตแดนทางทะเล ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญด้านเศรษฐกิจของประเทศ ประเทศสมาชิกอาเซียนรวมทั้งไทยจึงได้มีการจัดสรรงบประมาณทางการทหารเพิ่มขึ้น เพื่อจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่ สถาบันวิจัยเพื่อสันติภาพนานาชาติแห่งกรุงสต็อกโฮมล์ (Stockholm International Peace Research Institute – SIPRI) กล่าวว่า ประเทศต่างๆ ทั่วโลกมีค่าใช้จ่ายทางการทหารอยู่ที่ 1,738 พันล้านเหรียญ (ปี 2011) สหรัฐอเมริกามีค่าใช้จ่ายทางการทหารมากที่สุดคิดเป็น 41% ของงบทหารในโลก ตามด้วยจีน 8.2% รัสเซีย 4.1% อังกฤษและฝรั่งเศส 3.6% สำหรับในอาเซียนสิงคโปร์มีค่าใช้จ่ายทางทหารสูงที่สุด คือ 8.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อมาคือ อินโดนิเซีย 5.2 พันล้านเหรียญ ประเทศไทย 5.1 พันล้านเหรียญ มาเลเซียอยู่ที่ 4.2 พันล้านเหรียญ เวียดนาม 2.5 พันล้านเหรียญ ฟิลิปปินส์ 2.2 พันล้านเหรียญ บรูไน 0.4 พันล้านเหรียญ และ ลาวอยู่ที่ 0.2 พันล้านเหรียญ รายละเอียดมีดังต่อไปนี้สาธารณรัฐสิงคโปร์ มีเนื้อที่ทั้งประเทศ 710.2 ตารางกิโลเมตร มีประชากรไม่ถึง 5 ล้านคน แต่ติด 10 อันดับแรกของประเทศผู้นำเข้าอาวุธรายใหญ่ที่สุดของโลก กำลังสร้างฝูงเรือดำน้ำ “แชลเลนเจอร์ทีม” โดยซื้อเรือดำน้ำจากสวีเดน 4 ลำ และได้รับเรือดำน้ำ Västergotland สองลำจากสวีเดน ซื้อเครื่องบินรบ F-15SG 1 ฝูง และเครื่องบินรบ F-35 จากสหรัฐฯ ทำให้กลายเป็นกองเรือรบทันสมัยที่สุดอีกกองหนึ่ง และกลายเป็นมหาอำนาจทางอากาศภายในกลุ่มด้วยสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เร่งสร้างเสริมขีดความสามารถทางทหาร เพื่อรับมือภัยคุกคามจากภายนอก โดยใช้งบประมาณที่จัดสรรไว้ 378,450 ล้านบาท จัดซื้อหมู่เรือลาดตระเวนทางทะเลความเร็วสูงจากเวียดนาม เรือตรวจชายฝั่งจากญี่ปุ่น 10 ลำ เรือฟรีเกตติดระบบจรวดทันสมัย เพื่อลาดตระเวนน่านน้ำ 2 ลำ เฮลิคอปเตอร์โจมตีอเนกประสงค์ โซกอล 8 ลำ เฮลิคอปเตอร์ตรวจทางทะเล 3 ลำจากอิตาลี เครื่องบินรบ เครื่องบินขนส่งและลาดตระเวนทางไกล เรดาร์ทางทหาร เครื่องบินขับไล่ FA-50 12 ลำจากเกาหลีใต้ ทั้งนี้ จีนได้โจมตีแผนจัดหาอาวุธล็อตใหญ่ของฟิลิปปินส์อย่างหนัก โดยเตือนว่าเป็นการเพิ่มความตึงเครียดในหมู่เกาะสแปรตลีย์สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จะซื้อจรวดนำวิถีบรามอส (BrahMos Missile) เพื่อติดตั้งบนเรือฟรีเกตชั้นเกพาร์ด 3.9 จำนวน 4 ลำ เรือดำน้ำชั้นคิโล (Kilo-class) 6 ลำ ซึ่งเป็นเรือสำหรับสงครามใต้น้ำที่ทันสมัยที่สุด ขณะที่ต้องเผชิญหน้ากับ “การคุกคาม” จากจีน ในกรณีพิพาทหมู่เกาะพาราเซลทางตอนเหนือ กับหมู่เกาะสแปรตลีย์ทางใต้ โดยสั่งซื้อเรือดำน้ำ Project-636 จำนวน 6 ลำจากรัสเซีย และขีปนาวุธจากอิสราเอล ปัจจุบันเพิ่งเซ็นสัญญาซื้อเครื่องบินรบ Su-30 อีก 24 ลำ Su-34 เครื่องบินทิ้งระเบิดรุ่นใหม่ และเครื่องบิน Su-35 ระบบเรดาร์ล้ำยุคจากรัสเซียจำนวนหนึ่ง สำหรับกองกำลังป้องกันทางอากาศ รวมถึงมีความตกลงร่วมมือด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์กับพลังงานนิวเคลียร์สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เป็นกองทัพขนาดเล็ก อาวุธส่วนใหญ่เป็นอาวุธในช่วงสงครามเย็น สำหรับภารกิจการป้องกันชายแดน ได้แก่ ปืนเล็กยาว ปืนครก รถถัง พีที-76 รถถังเบา, รถถังรบ (Type 59) รถถังหุ้มเกราะ (BTR-60P) รถถังหุ้มเกราะ(BTR-152) รถถังหุ้มเกราะต่อต้านอากาศยานเบา (ZSU-23-4) ปืนใหญ่ M-30 122 mm howitzer field howitzer, M-46, D-30, และ M114 155 mm อาวุธป้องกันภัยทางอากาศ Strela 2 surface to air missile, 57 mm AZP S-60 automatic anti-aircraft gun, ZPU auto anti-aircraft gun, K-13 (missile) air-to-air missileสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ จัดสรรงบประมาณปี 56-57 จำนวน 2,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับซื้อรถถัง แบบ ที-52 จำนวน 50 คัน รถหุ้มเกราะแบบ BTR-3 U จำนวน 1,200 คัน อาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศ (SAM) แบบ Tor-M1 และ Buk-M1A2 ขณะที่จีนได้ขายรถหุ้มเกราะแบบ T-85 และ T-90 300 คัน รถถังแบบ T-6911, T-59 D, T-80, T-85 200 คัน และ T-63 อีก 105 คัน ปืนใหญ่ขนาด 155 มม. (MW52) ขนาด 122 มม. (T34) รวม 100 กระบอก และขนาด 155 มม. (T63) 30 กระบอก จากอิสราเอล การวางกำลังทางเรือทาง "ชายฝั่งทะเลอันดามัน" มีความสำคัญมาก และถือว่าเขตแดนด้านนี้ถือเป็น "ภัยคุกคาม" โดยมี เรือคอร์แวตต์ 6 ลำ เรือเร็วโจมตีอาวุธนำวิถี ชั้นหูซิน (Houxin) 6 ลำ [Type 037/1G/ Type 353M large missile boats] อาวุธปล่อยนำวิถีโจมตีเรือ C-801 เรือเร็วโจมตีปืน ชั้นไฮนาน (Hainan) 10 ลำ (Type 037 Subchaser) เรือปราบเรือดำน้ำ เรือชั้น Myanmar ติดตั้งขีปนาวุธ C-801 และมีเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่ง 72 ลำ เครื่องบินรบ MiG-29 จำนวน 29 ลำ เฮลิคอปเตอร์ลำเลียง และโจมตีแบบ Mi-24 11 ลำ Mi-17 30 ลำ กับ Mi-25 10 ลำ จรวดต่อสู้อากาศยานในตระกูล S-175M “เปชอร่า” (Pechora) เครื่องบินรบขนาดใหญ่อย่าง Su-27 รถถัง T-72, FC-1 หรือ JF-17ประเทศกัมพูชา พึ่งพาอาวุธจากสหภาพโซเวียตเป็นหลัก ซื้อเฮลิคอปเตอร์แบบ Z-9 หรือ Harbin Zhi-9 จำนวน 12 ลำ จากกลุ่มอุตสาหกรรมอากาศยานฮาร์บิน ในวงเงิน 195 ล้านดอลลาร์ ประกอบด้วย Z-9B สำหรับขนส่งลำเลียงอเนกประสงค์ 4 ลำ Z-9W ติดอาวุธโจมตี 2 ลำ สำหรับขนส่งวีไอพี 6 ลำ ใช้ลำเลียงขนส่งทั่วไปในกองทัพ เพื่อภารกิจทางมนุษยธรรมและกู้ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทั้งนี้ สามารถติดจรวดนำวิถียิงทำลายรถถัง จรวดนำวิถีในภารกิจปราบเรือดำน้ำ ตอนท้ายลำ บรรทุกอุปกรณ์สื่อสาร อุปกรณ์ควบคุมการยิง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สำหรับ “สงครามอิเล็กทรอนิกส์”สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ขยายกองเรือดำน้ำ โดยเพิ่มเรือดำน้ำ Type-209 3 ลำจากเกาหลีใต้ เป็นเรือดำน้ำเทคโนโลยีสูงที่มีเครื่องยนต์กำลังดีเซลที่ใช้ไฟฟ้า เพื่อคุ้มกันทะเลภายในอาณาเขตของอินโดนีเซีย เช่น ตอนเหนือของช่องแคบมะละกา ทะเลนาทูน่า ทะเลสุลาเวสี และช่องแคบบาหลี ซื้อเครื่องบินรบ Su-30 จากรัสเซีย 16 ลำ เอฟ-16 24 ลำ เครื่องบินขับไล่ Sukhoi Su-30MKK 6 ลำจากรัสเซีย เครื่องบินขนส่งขนาดกลาง 9 ลำจากสเปน เครื่องบินต่อต้านการก่อการร้าย 8 ลำจากบราซิล ขีปนาวุธสกัดเรือรบจากจีน และระบบเรดาร์ตรวจชายฝั่งจากจีนและอเมริก
การแปล กรุณารอสักครู่..
