ทางสู่สวรรค์นิรันดร
.........................
โดย: ป.วิสุทธิปัญญา
ชมรมจิตจักรวาลศึกษาแห่งโลก UCSA
"สวรรค์นิรันดร" ...
หมายถึง:
1.ดินแดนแห่งบ้านเกิดเมืองนอน ของดวงจิตธรรมญาณผู้เป็นแก่นแท้ของพวกเธอแต่ละคน ที่จากมาสู่การเกิดเป็นมนุษย์บนดาวโลกเสรีนี้
2.ดินแดนที่ตัวตนภาคแรกที่สูงส่ง (พระบุตร หรือ จิตจักรวาลดวงเล็ก 11 เหลี่ยมมุม) ของพวกเธอแต่ละคนดำรงอยู่ พระบุตรก็คือ ผู้แบ่งภาคตนเองออกมาเป็นรูปธรรมทางพลังงานที่มีรูปลักษณ์ 6 เหลี่ยมมุม ซึ่งเป็นดวงจิตธรรมญาณ (พระจิต) ที่เป็นตัวตนแก่นแท้ในความเป็นมนุษย์ของพวกเธอแต่ละคนกันอยู่ในขณะนี้นั่นเอง
3.ดินแดนที่สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง อยู่เหนือกฎแห่งกรรม ไม่มีสังสารวัฏ จึงไม่มีการเกิดใหม่ของสรรพสิ่งใดๆ
4.ดินแดนที่สรรพสิ่งทั้งปวง มีคุณสมบัติเป็นสุญญตา จึงเป็นดินแดนแห่งการดำรงอยู่ของสรรพสิ่งที่มีความอิ่มเอิบอยู่กับความว่าง ดินแดนแห่งนี้จึงเปรียบได้ดั่งสวรรค์นิรันดรโดยแท้
ดินแดนที่ว่านี้เป็นดินแดนที่อยู่ภายนอก ระบบเอกภพ ไม่มีดวงเดือนดวงดาว หรือสรรพสิ่งใดๆในมิติทางกายภาพเลย คงมีแต่องค์จิตจักรวาลดวงใหญ่ กับจิตจักรวาลดวงเล็กดำรงอยู่อย่างสงบนิ่งเท่านั้น
5.เนื่องจากบนเส้นทางสู่สวรรค์นิรันดรนั้น........
นักเรียนหรือมนุษย์โลกทุกคน
จักต้องมีบริบทแห่งการดำเนินชีวิต 3 ประการหลักๆดังต่อไปนี้เท่านั้น คือ
5.1 ต้องไม่ก่อกรรมหรือกระทำสิ่งใดๆโดยเกิดผลกรรมใหม่ขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะด้วยกาย วาจา และอารมณ์รู้สึกนึกคิดจากจิตใจของตนก็ตาม
5.2 ต้องสามารถแก้ไขผลกรรมเก่าๆจากภพชาติอดีตของตน ที่จิตวิญญาณถือติดตัวมาสู่การเกิดเป็นมนุษย์ในภพชาตินี้ เพื่อเรียนรู้ที่จะแก้ไข ปรับปรุง และพัฒนาจิตปัญญาของตนเอง และยังเป็นการทดสอบจิตสำนึกทางวิญญาณของตนเองในชีวิตประจำวันแห่งการเป็นมนุษย์ของตนเองอีกด้วย
5.3 ต้องเรียนรู้ที่จะรักผู้อื่นให้ได้ ให้สิ่งดีงามแก่ผู้อื่นให้เป็น ไม่ว่าพวกเขาแต่ละคนจะทำตนไม่น่ารัก ไม่น่าให้เลยสักนิดเดียวก็ตาม ก็ต้องไม่โกรธเกลียดเคียดแค้น หมั่นไส้ หรือรังเกียจ และต้องไม่ปฏิเสธที่จะให้สิ่งดีๆแก่คนที่ไม่ดี คือ ต้องให้โดยไม่มีเงื่อนไขเท่านั้น เช่น น่ารักจึงให้ แต่ไม่น่ารักก็ไม่ให้ ซึ่งจะสร้างเงื่อนไขแห่งการให้แบบนี้ไม่ได้ เป็นต้น
6.ถ้านักเรียนหรือมนุษย์ทั้งหลาย ปรารถนาที่จะผ่านพ้นไปสู่ประตูนิพพาน ตรงด่านนภาลัย เพื่อคืนกลับสู่สวรรค์นิรันดร อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของจิตวิญญาณของตนเองให้ทัน ก่อนวันสิ้นยุคพลังงานเก่าที่กำลังจะมาถึงในเร็วๆนี้แล้ว เธอทั้งหลายจักต้องใช้ เครื่องมือสำคัญคือ ดวงจิต 4 ดวง
6.1 จิตไร้เดียงสา: หมายถึง
< จิตที่สั่นสะเทือนเป็นความอยากเรียนรู้ ในสรรพสิ่งหรือเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่ตนสัมผัส
< จิตที่สั่นสะเทือนเป็นความรัก ความปิติสุข ความสงบ
< จิตที่สั่นสะเทือนเพื่อการรับรู้อยู่กับปัจจุบัน พอใจในสิ่งที่ตนเป็นอยู่ มีอยู่
6.2 จิตสัญชาตญาณ: หมายถึง
< รับรู้ความต้องการทางธรรมชาติจากภายในของตนเองได้ เช่น หิว หาว โหย กระหาย เจ็บปวด หนีภัย กลัวตาย กลัวเจ็บ เป็นต้น
< รับรู้และรับฟังความต้องการทางจิตวิญญาณของตนเองได้ เช่น ลางสังหรณ์ นิมิตหมาย เป็นต้น
6.3 จิตปัญญา: หมายถึง
< การไม่ขับเคลื่อนพฤติกรรมใดๆทั้งทางกาย วาจา และจิตใจ ด้วยอารมณ์รู้สึก ด้วยการนึกคิดของจิต และด้วยความเคยชินหรือเคยตัวของตนเอง โดยตกเป็นทาสของจิตอย่างสิ้นเชิง
< ต้องกำหนดนึกด้วยจิต เพื่อนำสิ่งที่นึกนั้นไปสร้างกระบวนการคิดทางสมอง จนได้คำตอบที่ถูกต้องที่ตนพอใจแล้ว จึงค่อยแสดงออกหรือกระทำไปตามที่คิดนั้น
6.4 จิตสาธารณะ: หมายถึง
< การเป็นผู้มีจิตอาสา ที่พร้อมเอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือ เสียสละ แบ่งปัน สิ่งดีๆเพื่อยังประโยชน์สุขต่อผู้อื่นได้ทุกเมื่อ โดยไม่คิดหวังสิ่งใดตอบแทน และไม่ต้องรอการร้องขอความช่วยเหลือจากใครๆ ตนก็สามารถที่จะหยิบยื่นความช่วยเหลือนั้นให้แก่ผู้อื่นตามสมควรแก่ตนเสมอ....
7.ถ้านักเรียนปรารถนานิพพาน สู่สวรรค์นิรันดร โดยทราบแล้วว่า ดวงจิตหรือดวงแก้วทั้ง 4 ที่ว่ามานี้ เป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญแล้วละก็ นักเรียนจึงควรเรียนรู้ที่จะพัฒนาดวงจิตตนเองทั้งสี่ดวง ให้มันทำหน้าที่ได้เต็มเหนี่ยว แทนการที่จะเที่ยวเรียนรู้เพื่อท่องจำแต่ "บทธรรมะ" ที่เขาโพสท์กันที่นั่นที่นี่....
แชร์เอาไว้ตั้งมากมาย แต่ไม่รู้ว่าจะเอาธรรมบทเหล่านั้นไปใช้ในชีวิต บนเส้นทางสายนิพพานของตนกันได้ยังไงบ้าง.....
8.เธอต้องฝึกจิตและฝึกคิด ด้วยการมีมหาสติในชีวิตประจำวันเข้าไว้ จะได้ไม่เป็นคนประเภทที่เขาเรียกว่า.......
"ธรรมะท่วมหัว แต่เอาตัวตนแก่นแท้ไม่รอด!"
ด้วยรักและห่วงใย
ป.วิสุทธิปัญญา
ชมรมจิตจักรวาลศึกษาแห่งโลก UCSA
Bangkok, Thailand.
06-07-2014