เมื่อสังคมโลกถูกกำหนดโดยเทคโนโลยีสมัยใหม่หลากหลายรูปแบบ ทำให้มนุษย์เรียนรู้วิธีการที่จะพัฒนาและสร้างนวัตกรรมใหม่ การช่วยเจริญพันธ์ของมนุษย์ก็นับได้ว่าเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีไม่แพ้เรื่องอื่นๆ โดยการทดลองค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์จนสามารถสร้างตัวอ่อนที่มีลักษณะทางพันธุ์กรรม เหมือนคนเดียวกับต้นแบบสร้างเซลล์ต้นกำเนิด การเพาะขยายเป็นเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ ของมนุษย์เพื่อการรักษาทางการแพทย์หรือการตั้งครรภ์แทนที่เรียกว่า “การอุ้มบุญ” ความก้าวหน้าเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เกิดจากการพัฒนาเพื่อให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกทั้งสิ้น
การตั้งครรภ์แทนหรือ “อุ้มบุญ” เป็นการตั้งครรภ์โดยอาศัยหญิงอื่นตั้งครรภ์แทนโดยมีข้อตกลงกันไว้ล่วงหน้ากับบุคคลหรือคู่สมรสที่ต้องการมีบุตรว่าจะยกทารกในครรภ์นั้นให้เป็นบุตรของบุคคลนั้น
ซึ่งอาจเรียกให้เข้าใจง่ายและเห็นภาพได้ชัดเจนว่าเป็นการยืมมดลูกของหญิงอื่นเพื่อตั้งครรภ์แทน
ซึ่งการ “อุ้มบุญ” มี 2 ลักษณะ คือ “อุ้มบุญแท้” คือ การใช้น้ำเชื้อจากผู้ที่ต้องการมีบุตร ผสมกับไข่ของแม่อุ้มบุญ (ผู้ตั้งครรภ์แทน) และฉีดฝังในมดลูกแม่อุ้มบุญ และ“อุ้มบุญเทียม” คือ การที่ใช้น้ำเชื้อและไข่จากเจ้าของเซลล์สืบพันธุ์ (คู่คุณพ่อคุณแม่ที่แท้จริง) แล้วฝากไข่ที่รับการผสมเรียบร้อยแล้วเข้าไปในตัวของผู้ตั้งครรภ์แทน กรณีเช่นนี้เด็กทารกจะไม่มีความเกี่ยวข้องทางพันธุกรรมใดๆ กับผู้อุ้มบุญเลย
แม่อุ้มบุญทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ให้ยืมมดลูกเท่านั้น
แต่เมื่อสิ่งใดๆ ในโลกนี้มีสองด้านเสมอ มีคุณมีโทษ มีได้มีเสีย มีแพ้มีชนะ มีดีมีเลว ดังนั้น จึงไม่แปลกที่ความเจริญก้าวหน้าดังกล่าวจะนำมาซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นกับสังคมไทยตามที่เป็นข่าวให้เห็นในหน้าหนังสือพิมพ์วิทยุโทรทัศน์ในเวลานี้ แม้เหตุผลของการพัฒนาความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในด้านการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์หรืออุ้มบุญมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้มีบุตรยาก แต่ผลของการพัฒนาก็ทำให้เกิดการแสวงหาประโยชน์จากบุคคลบางคนโดยอาศัยเหตุผลและแรงจูงใจแตกต่างกัน เช่นฝ่ายชายผู้ให้อุ้มบุญซึ่งเป็นเจ้าของเซลล์สืบพันธุ์ (อสุจิ) ก็อ้างเป็นสิทธิในความเป็นมนุษย์ที่จะมีลูกได้เท่าที่ต้องการ ส่วนหญิงผู้รับอุ้มบุญก็อาจจะอ้างความจำเป็นในเรื่องรายได้เนื่องจากฐานะยากจนเพราะการรับจ้างอุ้มบุญได้รับค่าตอบแทนสูงทำให้มีรายได้เพื่อจุนเจือครอบครัวหรือใช้เลี้ยงลูกของตนหรือปลดหนี้ได้ จึงยอมที่จะใช้เวลาเก้าเดือนเพื่อรับจ้างอุ้มบุญเป็นค่าตอบแทน เมื่อคลอดทารกแล้วก็หมดหน้าที่โดยมอบเด็กให้กับผู้ว่าจ้าง แต่หญิงผู้อุ้มบุญบางคนก็อาจเต็มใจที่ช่วยเหลือคู่สมรสที่ไม่สามารถมีบุตรได้เพื่อให้มีครอบครัวมีความสมบูรณ์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยไม่ได้มีกฎหมายกำหนดความรับผิดเกี่ยวกับการตั้งครรภ์แทนไว้โดยเฉพาะ (ปัจจุบันได้มีการเสนอร่างกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้และอยู่ระหว่างการเสนอร่างต่อสภา) มีเพียงประกาศแพทยสภา 2 ฉบับที่กำหนดให้ผู้มีวิชาชีพเวชกรรมสามารถให้บริการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวได้ คือ ประกาศแพทยสภา ที่ 1/2540 และประกาศแพทยสภาที่ 21/2545 ซึ่งทั้งสองฉบับได้กำหนดเงื่อนไขและวิธีการใช้เทคโนโลยีเจริญพันธุ์ไว้หลายประการ เช่น กรณีที่คู่สมรสต้องการมีบุตรโดยให้หญิงอื่นซึ่งมิใช่ภริยาตั้งครรภ์แทน ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมจะให้บริการได้เฉพาะกรณีใช้ตัวอ่อนที่มาจากเซลล์สืบพันธ์ของคู่สมรสเท่านั้น ต้องไม่มีการจ่ายค่าตอบแทนแก่หญิงตั้งครรภ์ในลักษณะที่อาจให้เข้าใจได้ว่าเป็นการรับจ้างตั้งครรภ์แทนและหญิงผู้ตั้งครรภ์แทนจะต้องเป็นญาติโดยสายเลือดของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เป็นต้น ดังนั้น การแสวงหาประโยชน์จากบุคคลบางคนโดยอาศัยเหตุผลและแรงจูงใจแตกต่างกันอาจเป็นกรณีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่น เพื่อการค้ามนุษย์ เป็นต้น ซึ่งทำให้เกิดปัญหาว่าผู้เกี่ยวข้องจะมีความผิดอย่างไรหรือไม่หรือสัญญารับจ้างตั้งครรภ์แทนจะมีผลผูกพันคู่สัญญาหรือไม่หรือเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ขัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ประกาศแพทยสภาทั้งสองฉบับยอมรับการใช้เทคโนโลยีเจริญพันธุ์ตามเงื่อนไขและวิธีการที่กำหนดทำให้เกิดปัญหาทางกฎหมายว่าบิดามารดาของทารกที่มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย เช่น หน้าที่ในการเลี้ยงดู การเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร หรือสิทธิตามกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง หมายถึงบุคคลใดระหว่างผู้ตั้งครรภ์แทนและเจ้าของเซลล์สืบพันธ์ (เชื้ออสุจิและไข่)
ในเรื่องนี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 บัญญัติว่า เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือเป็นบุตรโดยชอบของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นและมาตรา 15 บัญญัติว่า สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกและสิ้นสุดลงเมื่อตาย ซึ่งหากพิจารณาจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ดังกล่าวเห็นได้ว่ากฎหมายได้ให้การรับรองความเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของหญิงที่ตั้งครรภ์ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดเท่านั้น และปัญหานี้ได้มีการหารือต่อคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับกรณีที่คู่สมรสซึ่งเป็นข้าราชการได้แจ้งจำนวนบุตรเพื่อขอเบิกเงินสวัสดิการรักษาพยาบาลและการศึกษาของบุตร (โดยกฎหมายกำหนดไว้ว่าบุตรที่ขอใช้สิทธิจะต้องเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น) แต่เป็นบุตรที่เกิดจากการนำเชื้ออสุจิของสามีไปผสมกับไข่ของหญิง (คู่สมรสเป็นข้าราชการ) แล้วนำตัวอ่อนไปฝากไว้ในครรภ์ของหญิงอื่นเพื่อตั้งครรภ์แทนจะถือเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของข้าราชการอันจะมีสิทธิได้รับเงินสวัสดิการดังกล่าวหรือไม่
คณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีความเห็นตามบันทึกเลขเสร็จที่ 100/2542 ว่า ทารกในครรภ์มารดา ตามมาตรา 15 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หมายถึง ทารกที่เกิดนั้นจะต้องเกิดจากครรภ์มารดาของผู้เป็นบุตร ดังนั้น บุตรที่เกิดจากการใช้เทคนิคทางการแพทย์ หญิงที่รับตั้งครรภ์แทนและคลอดทารกจึงมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของทารก ส่วนหญิงเจ้าของไข่แต่มิได้ตั้งครรภ์และชายเจ้าของอสุจิ แต่มิได้เป็นสามีของหญิงที่ตั้งครรภ์ จึงมิใช่บิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมายของทารกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น เด็กที่เกิดจากการ “อุ้มบุญ” จึงเป็นบุตร