1. attitude is a determining factor for our way of life.That attitude is what has already been created simple expectation of life to ourselves. Of course, it is to point out the direction of our lives, that it will soar to above or to bow down to the bottom. In addition to this. This attitude is becoming a norm to ourselves to look around whether satisfactory or not satisfactory. If you set negative attitudes in the story happens it will look terrible in various international. Not all of the same emotional experience, free, if you don't like anyone else. Here, they do come. Well, you just relaxed, but whatever he is doing, it is hard to lose all that it really may not be a serious dimension.2. the attitude of our relationships with other people.เรามักจะเห็นว่าคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีนั้นมักจะมีจุดร่วมในเรื่องทัศนคติเช่นการมองโลกในแง่ดี การเห็นคุณค่าของคนอื่น การเห็นอกเห็นใจ ฯลฯ และในขณะเดียวกันนั้น เหล่าคนที่มีมนุษยสัมพันธ์แย่ก็จะมีจุดร่วมไม่ต่างกัน เช่นมองคนอื่นแย่กว่าตัวเอง มองคนอื่นเป็นศัตรู ฯลฯ ทั้งที่จริงๆ แล้วคนสองกลุ่มนี้อยู่บนสภาพแวดล้อมเดียวกัน เจอกับคนเหมือนกัน นั่นเป็นเพราะทัศนคติที่คนสองกลุ่มนี้สร้างขึ้นกลายเป็นตัวกำหนดวิธีการปฏิบัติตัวเช่นเดียวกับปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ นั่นเอง มันจึงไม่แปลกว่าทำไมคนบางคนถึงยิ้มแย้มและยินดีที่จะคุยกับคนอื่นๆ และในขณะที่บางคนจะรู้สึกเหนื่อยหน่าย ไม่อยากสุงสิงกับใคร3. attitude is what makes a difference between a "success" and "failure".For some people, even the lack of success, not failure, but also vice versa. Some people even if they did work however is not considered a great success there. This story reflects that attitude produces a norm, you unconsciously that you determine your success. Of course, if you have the attitude of positive possibilities is already even though the job might not be so disappointed, you might not have much sense of failure. However, you may see that you are successful in "bang" and learn different lessons to themselves.4. ทัศนคติเริ่มต้นจะส่งผลกับผลลัพธ์ที่ตามมาข้อเท็จจริงข้อหนึ่งที่เรามักจะเจอคืองานหลายๆ งานนั้นล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ได้ทันจะเริ่ม และส่วนมากเราก็มักพูดกันว่า “ก็เล่าคิดกันแบบนี้ งานจะไปสำเร็จกันได้ยังไง” ซึ่งมันก็ตรงตามคำพูดนั่นแหละครับ เพราะการตั้งทัศนคติเริ่มต้นก่อนการทำงานต่างๆ นั้นมีส่วนสำคัญมากในการทำงานต่างๆ มันจึงไม่แปลกที่หัวหน้าทีมมักจะเช็คสภาวะจิตใจของลูกทีมอยู่เสมอ หมอก็มีการเตรียมความพร้อมด้านจิตใจของคนไข้ หรือแม้แต่คนพรีเซนต์งานก็ต้องจูนทัศนคติของคนฟังแต่เนิ่นๆ เพราะถ้าทัศนคติตั้งต้นมาดีแล้ว โอกาสที่งานซึ่งตามมานั้นจะประสบความสำเร็จก็มีสูง แต่ถ้าตั้งแง่ว่าจะพังตั้งแต่ต้นแล้ว ทำยังไงก็คงจะไม่เวิร์คเป็นแน่5. ทัศนนคติคือตัวที่เปลี่ยน “ปัญหา” ให้กลายเป็น “โอกาส”หนึ่งในสิ่งที่เรามักพูดกันบ่อยๆ ว่าคนประสบความสำเร็จนั้นจะมีมุมมองและทัศนคติแตกต่างจากคนทั่วๆ ไป นั่นคือการมองเห็นโอกาสจากปัญหาแทนที่จะมานั่งคิดและรู้สึกไม่ดีกับมัน ทั้งนี้เพราะทุกๆ คนก็ล้วนเจออุปสรรคในชีวิตไม่ต่างกัน แต่บางคนเลือกจะมองมันเป็นโอกาสในการพัฒนาตัวเองหรือใช้โอกาสนั้นๆ ให้เป็นประโยชน์ และนั่นทำให้เรามักเจอคนที่มีทัศนคติที่ดีมักจะสามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้อยู่เสมอๆ6. ทัศนคติสามารถทำให้เราเกิดมุมมองดีๆ ที่แตกต่างออกไปจากเดิมการมีทัศนคติที่ดีนั้นมักจะทำให้คนสามารถมองเห็นอะไรต่างไปจากเดิม เรื่องนี้ John C. Maxwell ยกตัวอย่างกรณีของ David และ Goliath ได้อย่างน่าสนใจ เพราะถ้าคนทั่วๆ ไปอาจจะมองว่า Goliath นั้นร่างยักษ์เสียจนคงไม่สามารถจะล้มและเอาชนะได้ แต่ David กลับมองอีกแบบว่า Goliath นั้นตัวโตมากเสียจนยังไงๆ เขาก็โจมตีได้โดยไม่พลาด (ก็จริงของเขานะ) และนี่น่าจะเป็นตัวอย่างชวนคิดว่าทัศนคติของเรานั่นแหละที่เป็นตัวสร้างกรอบความคิดและมุมมองของเราโดยไม่รู้ตัว หากคุณมีทัศนคติที่ดีแล้ว คุณก็อาจจะเห็นอะไรใหม่ๆ ที่ปรกติคุณอาจจะมองไม่เห็นก็ได้
7. ทัศนคติที่ดีไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะคุณบอกว่านับถือศาสนาหรือบอกว่าคุณเป็นคนดี
เราทุกคนล้วนนับถือศาสนากัน เราทุกคนล้วนรู้จักศีลธรรม จริยธรรม แต่ทำไมไม่ใช่เราทุกคนที่จะมีทัศนคติหรือมุมมองที่ดีกันล่ะ? นั่นแหละครับคือความจริงที่ว่าทัศนคติไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะคุณบอกตัวเองว่าถือศีลหรือเข้าวัดฟังธรรมกันเสียเมื่อไร (ในชีวิตผมเจอเยอะมากกับคนที่บอกว่าธรรมะธัมโมแต่จิตใจหยาบกร้านมาก) คนจำนวนมาก “รู้” แต่ไม่ได้ “เข้าใจ” หรือเอาหลักธรรมเหล่านั้นมาใช้ในการปรับทัศนคติของตัวเองอย่างจริงจังๆ หรือบางทีก็คิดว่าตัวเองเป็นอย่างนั้นแล้วโดยหารู้ไม่ว่าตัวเองยังไม่ได้ไปไหนเลยแม้แต่น้อย ฉะนั้นแล้ว คุณควรมองและคิดให้เห็นจริงว่าทัศนคติของคุณเป็นอย่างไร ไม่ใช่แค่การพูดอ้างและบอกตัวเองเฉยๆ
เรื่องราวของทัศนคติที่ผมเอามาเล่านี้ เป็นเหมือนเกริ่นนำสู่เรื่องของการเป็นผู้นำในหนังสือ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราจะเห็นได้คือทัศนคตินี้ที่สำคัญไม่แพ้ความรู้และความสามารถของตัวคุณเอง แถมเอาจริงๆ มันอาจจะเป็นตัวสำคัญที่สุดในการสร้างให้คุณมีความสุขหรือไม่ด้วย อ่านบล็อกนี้แล้วก็ลองถามตัวเองกันดูนะครับว่าทุกวันนี้ทัศนคติของคุณเป็นอย่างไร และชีวิตของคุณทุกวันนี้ดีแล้วหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ การปรับทัศนคติอาจจะเป็นหนึ่งในสิ่งแรกๆ ที่คุณควรเริ่มทำแล้วล่ะครับ
การแปล กรุณารอสักครู่..