การตกแต่ง (DECORATION ) หมายถึงการจัด ประดับเพื่อความงามของอาคาร สถานท การแปล - การตกแต่ง (DECORATION ) หมายถึงการจัด ประดับเพื่อความงามของอาคาร สถานท อังกฤษ วิธีการพูด

การตกแต่ง (DECORATION ) หมายถึงการจ

การตกแต่ง (DECORATION ) หมายถึงการจัด ประดับเพื่อความงามของอาคาร สถานที่ทั้งภายในและนอกอาคาร รวมทั้งบริเวณที่อยู่โดยรอบของอาคารด้วย โดยการใช้สิ่งประดิษฐ์คิดค้นขึ้นหรือจากธรรมชาตินำมาดัดแปรงเพื่อการตกแต่ง เพื่อตอบสนองความต้องการทางด้านประโยชน์ใช้สอย และให้คุณค่าความสวยงาม

ในปัจจุบันการตกแต่งก็อาจหมายถึง ภาพจิตรกรรมที่เขียนขึ้น หรือรูปประติมากรรมสำหรับประดับภายในอาคาร สถาปัตยที่เรียกว่าศิลปตกแต่ง (DECORATIVE ARTS ) ศิลปะเพื่อศิลปะบริสุทธิ์ ( PURE ARTS ) ปัจจุบันนี้การตกแต่งยังหมายถึง การกำหนดโครงสีตกแต่งภายในอาคาร ในห้อง การออกแบบกำหนดสีพรม การออกแบบเครื่องเรือน ( FURNITURE ) รูปภาพ รูปปั้น และสิ่งประดับเพื่อความสวยงามเหล่านี้เป็นต้น

ศิลปตกแต่งหรือมัณฑนศิลป์
( DECORATIVE ARTS OR MINOR ARTS )
หมายถึงบรรดาผลิตกรรมศิลปะชนิดที่เรียกว่าจุลศิลป์ เช่น ช่างถม ช่างเงินช่างทอง ช่างแก้ว ช่างเครื่องปั้นดินเผา และงานช่างอื่น ๆ ถ้าศิลปตกแต่งเหล่านี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ทางการค้า ก็อาจเรียกได้ว่าเป็น "พาณิชยศิลป์" ยังมีคำว่า ประยุกต์ศิลป์ ( APPLIED ARTS ) ซึ่งหมายความถึงศิลปตกแต่งด้วยเพราะเป็นศิลปะที่นำเอาไปใช้สำหรับวัตถุซึ่งเป็นของใช้ตามธรรมดา เหตุนี้พาณิชยศิลป์และประยุกต์ศิลป์จึงตรงกับศิลปตกแต่ง

ประวัติความเป็นมาของการตกแต่ง
การตกแต่งหรือศิลปตกแต่งนี้เป็นศิลปะที่มนุษย์เริ่มรู้จักตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ( PREHISTORIC PERIOD) ในยุกหินเก่ามนุษย์เริ่มรู้จักการตกแต่งถํ้าที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยในสมัยนั้น ดังจะพบได้จากการเขียนภาพสีตกแต่งบนผนังถํ้า เช่น ถํ้าอัลตามิรา ( (ALTARMIRA) ซึ่งอยู่ทางภาคใต้ของสเปน ในยุคต่อมาเป็นยุคหินใหม่

ต่อมาในสมัยประวัติศาสตร์ ศิลปะสร้างขึ้นเพื่อเหตุผลทางศาสนา เพื่อพระมหากษัตริย์หรือประวัติศาสตร์เป็นส่วนใหญ่ ประกอบด้วยงานจิตรกรรม
( PAINTING ) ประติมากรรม ( SCULPTURE ) การประกอบกระเบื้องสี ( MOSAIC ) ภาพประดับกระจกสี ( STAINEDGLASS ) โดยทำเป็นเรื่องของเทพเจ้าต่าง ๆ เกี่ยวกับทางศาสนาหรือพิธีการต่าง ๆ

ในปัจจุบัน ศิลปะการตกแต่งได้เปลี่ยนไปจากเดิมบ้างเพราะทางสถาปัตยกรรมได้เปลี่ยนแปลงรูปทรงไปจากสมัยโบราณมาก สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ถือความเรียบง่ายมีโครงสร้างเป็นเหลี่ยมเป็นแท่งตรงไปตรงมา จึงมีวิธีการตกแต่งต่างกันไปตามลักษณะการใช้สอย ความจำเป็นและสภาพทางเศษฐกิจ

ลักษณะของอาคารที่ใช้ตกแต่ง
แยกลักษณะของอาาคารโดยคำนึงถึงหน้าที่ของอาคารแต่ละประเภทออกเป็น 4 ลักษณะด้วยกันคือ
1. อาคารของทางราชการ ( OFFICIAL BUILDING )
2. อาคารสาธารณะ ( PUBLIC BUILDING )
3. อาคารพาณิชย์ ( COMMERCIAL BUILDING )
4. อาคารส่วนบุคคล ( PRIVATE BUILDING )
ลักษณะที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนของอาคารแต่ละประเภทที่มีหน้าที่เฉพาะเจาะจงไม่เหมือนกันจึงเป็นตัวนำความคิดหลักในการออกแบบตกแต่ง อย่างสอดคล้องเหมาะสมตามหน้าที่ใช้สอยและความงาม จึงทำให้เกิดมีลักษณะอาคารที่มีรูปแบบและหน้าที่ใช้สอยที่แปลกตาออกไป โดยเน้นเรื่องประโยชน์ใช้สอยของพื้นที่มากยิ่งขึ้นรูปแบบของอาคารจึงเป็นลักษณะการออกแบบผสมผสานระหว่างอาคารพาณิชย์และอาคารส่วน
บุคคลที่มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป

ลักษณะงานสำหรับการตกแต่ง
การตกแต่งจะคำนึงถึงวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการคือ ประการแรกเป็นการออกแบบตกแต่งเพื่อตอบสนองทางร่างกาย ประการที่สองเป็นการออกแบบตกแต่งเพื่อตอบสนองทางด้านจิตใจซึ่งสองประเภทนี้จำแนกออกได้ตามลักษณะหน้าที่ใช้สอยและหน้าที่การตกแต่ง
เป็น 4 ประเภทคือ
1. รูปภาพหรือภาพเขียนตกแต่ง ( PICTURE OR DECORATIVE PAINTING )
2. ภาพปั้น-แกะสลัก เพื่อตกแต่ง ( DECORATIVE SCULPTURE )
3. เครื่องเรือนหรือคุรุภัณฑ์ ( FURNITURE )
4. ประเภทสิ่งบันเทิงและสิ่งประดับ ( ENTERTAMENT AND DECORATION )

หลักเบื้องต้นในการออกแบบตกแต่ง
1. เส้น ( LINE ) เป็นส่วนประกอบพื้นฐานสำคัญในการออกแบบ เพราะเส้นจะเป็นองค์ประกอบที่ทำให้เกิดรูปทรง รูปร่างที่จะนำไปใช้ในการตกแต่ง
ลักษณะของเส้นจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไปดังนี้
เส้นตรง ให้ความรู้สึกแข็ง ตรงไปตรงมา
เส้นโค้ง ให้ความรู้สึกอ่อนไหว
เส้นซิกแซก ให้ความรู้สึกยอกย้อน รุนแรง
เส้นดิ่ง ให้ความรู้สึกในทางสูง เด่น สง่างาม
เส้นระดับ ให้ความรู้สึกทางกว้างยาว
เส้นโค้งเป็นแนวคลื่น ให้ความรู้สึกเคลื่อนไหว
เส้นตรงตัดกันเป็นกากบาท ให้ความรู้สึกขัดแย้ง
เส้นก้นหอย ให้ความรู้สึกหมุนเวียน
เส้นแย้ง ให้ความรู้สึก กระด้างหรือการแตกแยก
2. รูปทรง ( FORM ) เกิดจากการนำเส้นมาต่อกันเป็นรูปทรงแปลก ๆ มากมาย และทำให้รู้สึกต่างกันออกไป นอกจากนี้เราได้รูปทรงจากธรรมชาติที่มีความงามในตัวเองเสมอ รูปทรงที่ได้จากการนำเส้นมาต่อกันเป็นรูปทรงใหม่เรียกว่ารูปทรงเลขาคณิต
( GEOMETRICAL FOME ) ที่นำมาใช้ออกแบบเครื่องเรือนเครื่องประดับตกแต่งและสถาปัตยกรรมต่าง ๆ รูปทรงเลขาคณิต ได้แก่
รูปสี่เหลี่ยมด้านเท่า ให้ความรู้สึกแข็งแรง ไม่เอนเอียง
รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ให้ความรู้สึกกว้างขวาง สง่างาม
รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตรง ให้ความรู้สึกสูงเด่น และไม่ปลอดภัย
รูปสี่เหลี่ยมคางหมู ให้ความรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย
รูปสามเหลี่ยม ให้ความรู้สึกเด่น สง่า รุนแรง
รูปทรงกลม ให้ความรู้สึกกลมกลืนนุ่มนวล
รูปทรงอิสระ ( FREE FOME ) ให้ความรู้สึกเคลื่อนไหวไม่แน่นอน
3. คุณค่าของแสงและเงา ( CHIAROSCURO ) เมื่อได้ลักษณะของรูปทรง ผู้ออกแบบจะต้องคำนึงถึงผลที่จะได้รับจากแสงสว่าง ไม่ว่าจะเป็นแสง
สว่างจากธรรมชาติหรือจากหลอดไฟฟ้าซึ่งจะทำให้เกิดแสงตกทอด อันเป็นผลต่อแสงสว่างภาพในอาคาร และการกำหนดโครงสีภายใน ภายนอกอาคารเพื่อให้เกิดความสัมพันธ์กัน
สีเขียวแก่กับสีเทา ( DARK GREEN-COMBINED WITH GRAYS ) ทำให้เกิดความรู้สึกเศร้า ความชรา ความสงบเงียบ
สีเทากลาง ( MIDDLE GRAYS ) ทำให้เกิดความรู้สึกสงบเงียบ สุภาพ
สีขาวและสีดำอยู่ด้วยกัน ( BLACK AND WHITE TOGETHER ) ทำให้เกิดความหดหู่ใจ เศร้าสลด เงียบเหงา
สีขาว ( WHITE ) ทำให้เกิดความบริสุทธิ์ สดชื่น
4. เนื้อที่และช่องไฟ ( AREA AND SPACE ) ผู้ออกแบบจะต้องออกแบบเครื่องเรือนให้สัมพันธ์กับขนาด ( SIZE ) ของห้อง จัดวางตำแหน่งที่แน่นอนลงไปโดยให้เครื่องเรือนมีความสัมพันธ์ของหน้าที่ใช้สอยเต็มที่และจัดที่ว่างสำหรับการสัญจรไปมาอย่างสะดวก การออกแบบที่ไม่นึกถึงความสัมพันธ์ของเครื่องเรือนหรือตำแหน่งการจัดวางแล้วอาจทำให้เสียเวลาในการเดินไปเดินมาเพื่อหยิบสิ่งของ เคริ่องใช้เหล่านี้เป็นต้น
5. ผิวสัมผัส ( TEXTURE ) ในการออกแบบแต่ละครั้งผิวสั
0/5000
จาก: -
เป็น: -
ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 1: [สำเนา]
คัดลอก!
การตกแต่ง (DECORATION ) หมายถึงการจัด ประดับเพื่อความงามของอาคาร สถานที่ทั้งภายในและนอกอาคาร รวมทั้งบริเวณที่อยู่โดยรอบของอาคารด้วย โดยการใช้สิ่งประดิษฐ์คิดค้นขึ้นหรือจากธรรมชาตินำมาดัดแปรงเพื่อการตกแต่ง เพื่อตอบสนองความต้องการทางด้านประโยชน์ใช้สอย และให้คุณค่าความสวยงามในปัจจุบันการตกแต่งก็อาจหมายถึง ภาพจิตรกรรมที่เขียนขึ้น หรือรูปประติมากรรมสำหรับประดับภายในอาคาร สถาปัตยที่เรียกว่าศิลปตกแต่ง (DECORATIVE ARTS ) ศิลปะเพื่อศิลปะบริสุทธิ์ ( PURE ARTS ) ปัจจุบันนี้การตกแต่งยังหมายถึง การกำหนดโครงสีตกแต่งภายในอาคาร ในห้อง การออกแบบกำหนดสีพรม การออกแบบเครื่องเรือน ( FURNITURE ) รูปภาพ รูปปั้น และสิ่งประดับเพื่อความสวยงามเหล่านี้เป็นต้นศิลปตกแต่งหรือมัณฑนศิลป์( DECORATIVE ARTS OR MINOR ARTS )หมายถึงบรรดาผลิตกรรมศิลปะชนิดที่เรียกว่าจุลศิลป์ เช่น ช่างถม ช่างเงินช่างทอง ช่างแก้ว ช่างเครื่องปั้นดินเผา และงานช่างอื่น ๆ ถ้าศิลปตกแต่งเหล่านี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ทางการค้า ก็อาจเรียกได้ว่าเป็น "พาณิชยศิลป์" ยังมีคำว่า ประยุกต์ศิลป์ ( APPLIED ARTS ) ซึ่งหมายความถึงศิลปตกแต่งด้วยเพราะเป็นศิลปะที่นำเอาไปใช้สำหรับวัตถุซึ่งเป็นของใช้ตามธรรมดา เหตุนี้พาณิชยศิลป์และประยุกต์ศิลป์จึงตรงกับศิลปตกแต่งประวัติความเป็นมาของการตกแต่งการตกแต่งหรือศิลปตกแต่งนี้เป็นศิลปะที่มนุษย์เริ่มรู้จักตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ( PREHISTORIC PERIOD) ในยุกหินเก่ามนุษย์เริ่มรู้จักการตกแต่งถํ้าที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยในสมัยนั้น ดังจะพบได้จากการเขียนภาพสีตกแต่งบนผนังถํ้า เช่น ถํ้าอัลตามิรา ( (ALTARMIRA) ซึ่งอยู่ทางภาคใต้ของสเปน ในยุคต่อมาเป็นยุคหินใหม่ต่อมาในสมัยประวัติศาสตร์ ศิลปะสร้างขึ้นเพื่อเหตุผลทางศาสนา เพื่อพระมหากษัตริย์หรือประวัติศาสตร์เป็นส่วนใหญ่ ประกอบด้วยงานจิตรกรรม ( PAINTING ) ประติมากรรม ( SCULPTURE ) การประกอบกระเบื้องสี ( MOSAIC ) ภาพประดับกระจกสี ( STAINEDGLASS ) โดยทำเป็นเรื่องของเทพเจ้าต่าง ๆ เกี่ยวกับทางศาสนาหรือพิธีการต่าง ๆในปัจจุบัน ศิลปะการตกแต่งได้เปลี่ยนไปจากเดิมบ้างเพราะทางสถาปัตยกรรมได้เปลี่ยนแปลงรูปทรงไปจากสมัยโบราณมาก สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ถือความเรียบง่ายมีโครงสร้างเป็นเหลี่ยมเป็นแท่งตรงไปตรงมา จึงมีวิธีการตกแต่งต่างกันไปตามลักษณะการใช้สอย ความจำเป็นและสภาพทางเศษฐกิจลักษณะของอาคารที่ใช้ตกแต่งแยกลักษณะของอาาคารโดยคำนึงถึงหน้าที่ของอาคารแต่ละประเภทออกเป็น 4 ลักษณะด้วยกันคือ1. อาคารของทางราชการ ( OFFICIAL BUILDING )
2. อาคารสาธารณะ ( PUBLIC BUILDING )
3. อาคารพาณิชย์ ( COMMERCIAL BUILDING )
4. อาคารส่วนบุคคล ( PRIVATE BUILDING )
ลักษณะที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนของอาคารแต่ละประเภทที่มีหน้าที่เฉพาะเจาะจงไม่เหมือนกันจึงเป็นตัวนำความคิดหลักในการออกแบบตกแต่ง อย่างสอดคล้องเหมาะสมตามหน้าที่ใช้สอยและความงาม จึงทำให้เกิดมีลักษณะอาคารที่มีรูปแบบและหน้าที่ใช้สอยที่แปลกตาออกไป โดยเน้นเรื่องประโยชน์ใช้สอยของพื้นที่มากยิ่งขึ้นรูปแบบของอาคารจึงเป็นลักษณะการออกแบบผสมผสานระหว่างอาคารพาณิชย์และอาคารส่วน
บุคคลที่มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป

ลักษณะงานสำหรับการตกแต่ง
การตกแต่งจะคำนึงถึงวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการคือ ประการแรกเป็นการออกแบบตกแต่งเพื่อตอบสนองทางร่างกาย ประการที่สองเป็นการออกแบบตกแต่งเพื่อตอบสนองทางด้านจิตใจซึ่งสองประเภทนี้จำแนกออกได้ตามลักษณะหน้าที่ใช้สอยและหน้าที่การตกแต่ง
เป็น 4 ประเภทคือ
1. รูปภาพหรือภาพเขียนตกแต่ง ( PICTURE OR DECORATIVE PAINTING )
2. ภาพปั้น-แกะสลัก เพื่อตกแต่ง ( DECORATIVE SCULPTURE )
3. เครื่องเรือนหรือคุรุภัณฑ์ ( FURNITURE )
4. ประเภทสิ่งบันเทิงและสิ่งประดับ ( ENTERTAMENT AND DECORATION )

หลักเบื้องต้นในการออกแบบตกแต่ง
1. เส้น ( LINE ) เป็นส่วนประกอบพื้นฐานสำคัญในการออกแบบ เพราะเส้นจะเป็นองค์ประกอบที่ทำให้เกิดรูปทรง รูปร่างที่จะนำไปใช้ในการตกแต่ง
ลักษณะของเส้นจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไปดังนี้
เส้นตรง ให้ความรู้สึกแข็ง ตรงไปตรงมา
เส้นโค้ง ให้ความรู้สึกอ่อนไหว
เส้นซิกแซก ให้ความรู้สึกยอกย้อน รุนแรง
เส้นดิ่ง ให้ความรู้สึกในทางสูง เด่น สง่างาม
เส้นระดับ ให้ความรู้สึกทางกว้างยาว
เส้นโค้งเป็นแนวคลื่น ให้ความรู้สึกเคลื่อนไหว
เส้นตรงตัดกันเป็นกากบาท ให้ความรู้สึกขัดแย้ง
เส้นก้นหอย ให้ความรู้สึกหมุนเวียน
เส้นแย้ง ให้ความรู้สึก กระด้างหรือการแตกแยก
2. รูปทรง ( FORM ) เกิดจากการนำเส้นมาต่อกันเป็นรูปทรงแปลก ๆ มากมาย และทำให้รู้สึกต่างกันออกไป นอกจากนี้เราได้รูปทรงจากธรรมชาติที่มีความงามในตัวเองเสมอ รูปทรงที่ได้จากการนำเส้นมาต่อกันเป็นรูปทรงใหม่เรียกว่ารูปทรงเลขาคณิต
( GEOMETRICAL FOME ) ที่นำมาใช้ออกแบบเครื่องเรือนเครื่องประดับตกแต่งและสถาปัตยกรรมต่าง ๆ รูปทรงเลขาคณิต ได้แก่
รูปสี่เหลี่ยมด้านเท่า ให้ความรู้สึกแข็งแรง ไม่เอนเอียง
รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ให้ความรู้สึกกว้างขวาง สง่างาม
รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตรง ให้ความรู้สึกสูงเด่น และไม่ปลอดภัย
รูปสี่เหลี่ยมคางหมู ให้ความรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย
รูปสามเหลี่ยม ให้ความรู้สึกเด่น สง่า รุนแรง
รูปทรงกลม ให้ความรู้สึกกลมกลืนนุ่มนวล
รูปทรงอิสระ ( FREE FOME ) ให้ความรู้สึกเคลื่อนไหวไม่แน่นอน
3. คุณค่าของแสงและเงา ( CHIAROSCURO ) เมื่อได้ลักษณะของรูปทรง ผู้ออกแบบจะต้องคำนึงถึงผลที่จะได้รับจากแสงสว่าง ไม่ว่าจะเป็นแสง
สว่างจากธรรมชาติหรือจากหลอดไฟฟ้าซึ่งจะทำให้เกิดแสงตกทอด อันเป็นผลต่อแสงสว่างภาพในอาคาร และการกำหนดโครงสีภายใน ภายนอกอาคารเพื่อให้เกิดความสัมพันธ์กัน
สีเขียวแก่กับสีเทา ( DARK GREEN-COMBINED WITH GRAYS ) ทำให้เกิดความรู้สึกเศร้า ความชรา ความสงบเงียบ
สีเทากลาง ( MIDDLE GRAYS ) ทำให้เกิดความรู้สึกสงบเงียบ สุภาพ
สีขาวและสีดำอยู่ด้วยกัน ( BLACK AND WHITE TOGETHER ) ทำให้เกิดความหดหู่ใจ เศร้าสลด เงียบเหงา
สีขาว ( WHITE ) ทำให้เกิดความบริสุทธิ์ สดชื่น
4. เนื้อที่และช่องไฟ ( AREA AND SPACE ) ผู้ออกแบบจะต้องออกแบบเครื่องเรือนให้สัมพันธ์กับขนาด ( SIZE ) ของห้อง จัดวางตำแหน่งที่แน่นอนลงไปโดยให้เครื่องเรือนมีความสัมพันธ์ของหน้าที่ใช้สอยเต็มที่และจัดที่ว่างสำหรับการสัญจรไปมาอย่างสะดวก การออกแบบที่ไม่นึกถึงความสัมพันธ์ของเครื่องเรือนหรือตำแหน่งการจัดวางแล้วอาจทำให้เสียเวลาในการเดินไปเดินมาเพื่อหยิบสิ่งของ เคริ่องใช้เหล่านี้เป็นต้น
5. ผิวสัมผัส ( TEXTURE ) ในการออกแบบแต่ละครั้งผิวสั
การแปล กรุณารอสักครู่..
 
ภาษาอื่น ๆ
การสนับสนุนเครื่องมือแปลภาษา: กรีก, กันนาดา, กาลิเชียน, คลิงออน, คอร์สิกา, คาซัค, คาตาลัน, คินยารวันดา, คีร์กิซ, คุชราต, จอร์เจีย, จีน, จีนดั้งเดิม, ชวา, ชิเชวา, ซามัว, ซีบัวโน, ซุนดา, ซูลู, ญี่ปุ่น, ดัตช์, ตรวจหาภาษา, ตุรกี, ทมิฬ, ทาจิก, ทาทาร์, นอร์เวย์, บอสเนีย, บัลแกเรีย, บาสก์, ปัญจาป, ฝรั่งเศส, พาชตู, ฟริเชียน, ฟินแลนด์, ฟิลิปปินส์, ภาษาอินโดนีเซี, มองโกเลีย, มัลทีส, มาซีโดเนีย, มาราฐี, มาลากาซี, มาลายาลัม, มาเลย์, ม้ง, ยิดดิช, ยูเครน, รัสเซีย, ละติน, ลักเซมเบิร์ก, ลัตเวีย, ลาว, ลิทัวเนีย, สวาฮิลี, สวีเดน, สิงหล, สินธี, สเปน, สโลวัก, สโลวีเนีย, อังกฤษ, อัมฮาริก, อาร์เซอร์ไบจัน, อาร์เมเนีย, อาหรับ, อิกโบ, อิตาลี, อุยกูร์, อุสเบกิสถาน, อูรดู, ฮังการี, ฮัวซา, ฮาวาย, ฮินดี, ฮีบรู, เกลิกสกอต, เกาหลี, เขมร, เคิร์ด, เช็ก, เซอร์เบียน, เซโซโท, เดนมาร์ก, เตลูกู, เติร์กเมน, เนปาล, เบงกอล, เบลารุส, เปอร์เซีย, เมารี, เมียนมา (พม่า), เยอรมัน, เวลส์, เวียดนาม, เอสเปอแรนโต, เอสโทเนีย, เฮติครีโอล, แอฟริกา, แอลเบเนีย, โคซา, โครเอเชีย, โชนา, โซมาลี, โปรตุเกส, โปแลนด์, โยรูบา, โรมาเนีย, โอเดีย (โอริยา), ไทย, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์, การแปลภาษา.

Copyright ©2025 I Love Translation. All reserved.

E-mail: