การก่อสร้างพระราชวังต้องห้ามใช้เวลา 14 ปี โดยสร้างอยู่บนพื้นฐานพระราชวังเมือง "ต้าตู" ของราชวงศ์หยวนเมื่อรัชสมัยพระเจ้า "หย่งเล่อ" เป็นที่รวบรวมสติปัญญาและความสามารถของประชาชนจีนในสมัยเมื่อหลายร้อยปีก่อน ตอนก่อสร้างใช้คนงาน 1 ล้านคนและช่าง 1 แสนคน เนื่องจากเงื่อนไขการผลิตของสังคมในสมัยนั้น ทำให้การสามารถก่อสร้างพระราชวังที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้นั้น สะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาระดับสูงและเทคนิคทางด้านนวัตกรรมของประชาชนสมัยโบราณของจีนอย่างชัดเจน นอกจากนี้ การก่อสร้างพระราชวังต้องห้ามยังต้องการใช้ต้นไม้จำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่มาจากทางภาคใต้ของจีน เช่น มณฑลเสฉวน มณฑลกวางสี มณฑลกวางตุ้ง มณฑลยูนนานและมณฑลกุ้ยโจว ประชาชนจำนวนมากมายพากันตัดและขนส่งจากภูเขาและป่าไม้ธรรมชาติมายัังสถานที่ก่อสร้าง ส่วนวัสดุที่เป็นหินส่วนใหญ่ได้มาจากชานเมืองและเขตภูเขาที่ห่างจากกรุงปักกิ่งประมาณ 200-300 กิโลเมตร หินบางชิ้นนั้นมีน้ำหนักถึงหลายสิบหรือหลายร้อยตัน เช่น บันไดหินที่อยู่ข้างหลังพระตำหนัก "เป่าเหอเตี้ยน" ก็คือหินแกะสลักรูป " 9 มังกรดั้นเมฆ" ซึ่งก้อนหนึ่งมีน้ำหนักประมาณ 250 ตัน
หลังจากพระราชวังต้องห้ามสร้างแล้วเสร็จ ในช่วง 500 กว่าปีของราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง มีจักรพรรดิของทั้งสองราชวงศ์ทั้งหมด 24 พระองค์เคยประทับอยู่ที่นี่ เป็นศูนย์กลางของอำนาจสูงสุดในทั้งสองราชวงศ์ ประวัติศาสตร์กว่า 500 ปีของพระราชสำนักราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิงซึ่งรวมถึงการเคลื่อนไหวของจักรพรรดิและพระมเหษี ระบอบชนชั้น การต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ การเซ่นไหว้บูชาทางศาสนาล้วนเกิดขึ้นภายในสถานที่แห่งนี้ สมัยนั้น ชาวบ้านธรรมดาแม้เพียงเดินใกล้ชิดกำแพงพระราชวังต้องห้ามก็นับเป็นการทำผิดกฎหมาย เนื่องจากพระราชสำนักเป็นใจกลางการปกครองประเทศสูงสุดของระบอบศักดินาที่มีความสมบูรณ์ในระดับสูงซึ่งในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง เหตุการณ์สำคัญๆ มักจะเกิดขึ้นโดยเกี่ยวข้องถึงการสืบทอดราชสมบัติและำอำนาจของจักรพรรดิเสมอ
เมื่อปี 1911 เกิดการปฏิวัติ "ซินไฮ่" โค่นอำนาจรัฐราชวงศ์ชิงลง ความจริงแล้ว พระราชวังต้องห้ามต้องตกเป็นของรัฐ แต่ "เงื่อนไขให้สิทธิพิเศษแก่พระบรมวงศานุวงศ์ของราชวงศ์ชิง" กำหนดไว้ว่า อ้ายซินเจวียหลัว ผู่อี๋ จักรพรรดิองศ์สุดท้ายของราชวงศ์ชิงผู้สละราชสมบัติได้รับการอนุญาตให้ "อยู่ในวังในของพระราชวังต้องห้ามชั่วคราว" หลังจากนั้น อ้ายซินเจวียหลัว ผู่อี๋ก็อยู่ในวังนี้ต่ออีก 14 ปี ถึงปี 1924 จอมพลเฝิง ยู่เสียงก่อ "การรัฐประหารปักกิ่ง" ไล่อ้ายซินเจวียหลัว ผู่อี๋ออกจากพระราชวังต้องห้าม ทั้งจัดตั้ง "คณะกรรมการจัดการกิจการพระราชสำนักราชวงศ์ชิง" รับมือบริหารพระราชวังต้องห้ามต่อไป หลังจากอ้ายซินเจวียหลัว ผู่อี๋ถูกไล่ออกจากพระราชวังต้องห้ามไปแล้ว แต่ฝั่งทางต้วน ฉีรุ่ยและพวกอดีตข้าราชการระดับสูงของราชวงศ์ชิงพากันวางแผนเชิญอ้ายซินเจวียหลัว ผู่อี๋กลับพระราชวังต้องห้ามอีก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกรณีนี้ เมื่อวันที่ 10 ตุลาคมปี 1925 รัฐบาลจีนในขณะนั้นได้จัดตั้ง "พิพิธภัณฑ์กู้กง" ขึ้นอย่างเป็นทางการ และเปิดให้เข้าชมด้วย หลังจากปี 1925 พระราชวังต้องห้ามจึงเรียกว่า "กู้กง" หรือ "พระราชวังโบราณ" เนื่องจากพระราชวังต้องห้ามขาดการดูแล โดยเฉพาะในช่วง 38 ปีก่อนปี 1949 สิ่งก่อสร้างต่างๆ เสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ พระที่นั่งพังไปหลายแห่ง กองขยะก็ทับถมเหมือนภูเขา
ปี 1949 สาธารณรัฐประชาชนจีนสถาปนาขึ้น พอถึงปี 1961 คณะรัฐมนตรีจีนกำหนดพระราชวังต้องห้ามเป็น "โบราณสถานที่ต้องอนุรักษ์เป็นพิเศษระดับชาติ" ของจีน ในช่วงทศวรรษที่ 1950-60 จึงมีการบูรณะซ่อมแซมขนาดใหญ่ เมื่อปี 1987 องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติกำหนดให้พระราชวังต้องห้ามเป็น "มรดกวัฒนธรรมโลก" โดยในชื่อปัจจุบันว่า "พิพิธภัณฑ์กู้กง"