Cดังนี้ 1. กลยุทธ์การเป็นผู้นำด้านต้นทุน (Cost Leadership) โดยการลดต้นทุนการผลิต หรือดำเนินงานที่ไม่จำเป็น เพื่อทำให้สามารถตั้งราคาขายที่ต่ำกว่าคู่แข่ง ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้1.1 วิเคราะห์ขั้นตอนการดำเนินงานทั้งหมด แล้วหาจุดบกพร่อง หรือความสูญเปล่า (Wastes) แล้วรีบดำเนินการปรับปรุง โดยปรับ หรือลดสิ่งที่ไม่จำเป็นออก แล้วทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงที่สุด เช่น ขั้นตอนการปฎิบัติงานที่ซ้ำซ้อน และไม่เกิดประโยชน์ ค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ต่างๆ เป็นต้น1.2 promote activities to increase productivity (Productivity), is to increase operational efficiency in providing more efficient by introducing disbelievers concepts or tools such as 5s activities. Group activities promote the quality or QCC (Quality Control Cycle), quality management across the entire organization, or TQM (Total Quality Management), the maintenance of productive. Everyone participates, or TPM (Total Preventive Maintenance), production management, just-in-time or JIT (Just In Time) the activity suggestions (Suggestion) and continuous improvement (Kaizen), which should be selected appropriately and then applied to the Agency. Do not do a Hay fire.1.3 promotion allows your employees to use the limited available resources causing the cost-effectiveness and benefits as high as possible. Do not use a thing like khwang raw material used in production, it uses minimal waste or advocacy, help each other with the lights turned off. Turn off the water. When not in use, etc.1.4 promote awareness of quality (Quality Awareness), happens to all employees in order to reduce the problem of waste or preventing customer complaints (Customer Complain), because if it encounters problems, customer complaints. In addition, income does not happen, then they will also lose customers, revenue and reputation of the company, too.1.5 เปลี่ยนใช้วัตถุดิบที่ราคาถูกลงโดยเป็นการค้นหา Suppliers รายใหม่ๆ ที่สามารถขายสินค้า หรือให้บริการ เช่น วัตถุดิบ (Raw Material) ที่ใช้ในการผลิต หรือให้บริการรถขนส่ง (Transportation Service) ที่มีราคาถูกว่าเดิม แต่ต้องไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพ เพราะถ้าหากมัวแต่คิดที่จะเลือกของถูกอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพแล้วละก็ อาจจะได้ ไม่คุ้มเสียนะครับ 2. กลยุทธ์ด้านการสร้างความแตกต่าง (Differentiation) โดยเป็นการสร้างความแตกต่างของสินค้า หรือบริการของเรา ให้มีความแตกต่างจากคู่แข่ง หรือของที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อสร้างทางเลือกใหม่ๆให้กับลูกค้า และเป็นการสร้างโอกาสใหม่ๆในการขยายตลาด ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ได้ดังนี้2.1 ส่งเสริมการวิจัย และพัฒนา ผลิตภัณฑ์ (Research and Development) เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์เดิมที่มีอยู่ให้ดีขึ้นกว่าเดิม หรือผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้ามากที่สุด เช่น สีใหม่ๆ รสชาดใหม่ ขนาดที่ใหญ่กว่า สะดวกกว่า ประหยัดกว่า เป็นต้น2.2 ส่งเสริมการวิจัยตลาด (Marketing Research)เพื่อเป็นการค้นหาความต้องการของใหม่ๆผู้บริโภค ที่มีการที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน2.3 ส่งเสริมการเรียนรู้ในองค์การ (Learning Organization) เพื่อส่งเสริมให้คนในหน่วยงานแลกเปลี่ยนแนวคิด ประสบการณ์ วิธีการทำงาน หรือเรื่องที่เป็นประโยชน์ในการทำงาน ระหว่างกันและกัน เช่น การดำเนินกิจกรรมข้อเสนอแนะ (Suggestion) เพื่อการปรับปรุง และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement) ซึ่งสิ่งที่ได้อาจนำไปสู่การปรับปรุง ปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต การบริหารงาน หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่แตกต่างจากเดิม2.4 พัฒนาความสามารถให้เป็นจุดแข็ง (Strengths Point) โดยการพัฒนาปรับปรุงความสามารถที่มีอยู่ในปัจจุบันให้เป็นความสามารถที่ไม่มีใครมาลอกเลียนแบบได้ ซึ่งจะส่งผลทำให้สินค้าของเรามีความแตกต่างกับคู่แข่งอย่างชัดเจน เมื่อลูกค้านึกถึงผลิตภัณฑ์นี้เมื่อใด ต้องนึกถึงชื่อของเราเป็นรายแรก
3. กลยุทธ์มุ่งเน้นที่จุดสนใจ (Focus)เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เฉพาะกลุ่มซึ่งทำให้เกิดความชัดเจนในการเลือกใช้สินค้า ซึ่งสามารถจำแนกได้หลายประเภท ซึ่งส่วนใหญ่จำแนกตาม อายุ เพศ ลักษณะการใช้ชีวิต (Life Style) เช่น ผลิตภัฑ์สำหรับเด็ก กลุ่มอายุ 0-2 ขวบ ผลิตภัณฑ์เฉพาะผู้ชาย ผลิตภัณฑ์เฉพาะวัยรุ่น เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบันมีการนิยมใช้กลยุทธ์นี้กันมากขึ้น ซึ่งสามารถเห็นได้จากโฆษณาตามสื่อต่างๆ ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ดังนี้
3.1 วิเคราะห์สามารถของตนเอง (Self Analysis) เพื่อค้นหาความสามารถ หรือศักยภาพที่มีอยู่ในปัจจุบัน แล้วทำการเปรียบเทียบกับคู่แข่ง เพื่อเลือกจุดที่เหมาะสมกับเรามากที่สุด เช่น เน้นที่ผลิตภัณฑ์เด็ก อย่างเดียว หรือเน้นที่จะผลิตภัฑณ์เฉพาะผู้สูงอายุ เป็นต้น
3.2 ปรับปรุงกระบวนการให้สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ เพื่อปรับเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับ ผลิตภัฑ์ที่เราได้เลือกเอาไว้ เช่นปรับเปลียนระบบการผลิต การขนส่ง การบริการเป็นต้น
3.3 ทำจุดสนใจให้เด่นขึ้น เพื่อสื่อสารให้กับลูกค้าได้ทราบถึงความแตกต่าง หรือจุดเด่นที่มีในผลิตภัณฑ์ของเรา ทำให้ลูกค้านึกถึงสินค้าของเราทันที เมื่อความต้องการสินค้าชนิดนี้เกิดขึ้น ซึ่งในการโฆษณา หรือประชาสัมพันธ์นั้นควรเลือกใช้สื่อให้เหมาะสม และสอดคล้องกับกับผลิตภัฑ์ของเราด้วยนะครับ เพราะถ้าหากใช้ผิด จุดเด่นที่ต้องการอาจจะไม่โดดเด่นเหมือนที่คาดหวังเอาไว้ก็ได้
3.4 ติดตาม และประเมินผลงาน (Follow up and Evaluation)โดยติดตามผลการปฎิบัติงานที่ได้จาการดำเนินงาน แล้วทำการประเมินผลงานที่เกิดขึ้น แล้วปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสมตามสถานกรณ์ต่างๆ ทีมีการเปลี่ยนแปลงไป
การแปล กรุณารอสักครู่..