In between being trapped. Gulliver is not time wasted. He learned the language of the dwarves, and subsequently taken to the King. Gulliver, it can speak the language and follow the customs of the dwarf. This is unsatisfactory for the dwarf saw that should make liberal to Gulliver. Gulliver's Department found that there are no condition of this little town is different from European capitals, Loei. ต่อมาเมืองลิลลิพุทก็ตกอยู่ในอันตรายจากการรุกรานของเพื่อนบ้าน แห่งอาณาจักรเบลฟัสคู (Blefuscu) กัลลิเวอร์อาสาสมัครช่วยเหลือพระราชา เขาบุกตะลุยเข้าไปที่กองเรือศัตรูที่จอดรอกระแสลมอยู่กลางทะเลประมาณ 800 หลา จากฝั่งเมืองลิลลิพุท กัลลิเวอร์ใช้สายเคเบิลผูกโอบลากกองเรือเหล่านั้นเข้าฝั่ง และฝ่ายเบลฟัสคูต้องยอมแพ้ กัลลิเวอร์ได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนาง และก็คงจะเป็นที่พอพระทัยของพระราชาตลอดไป ถ้าไม่บังเอิญได้เกิดขัดแย้งกัน เมื่อพระราชาต้องการกดพวกเบลฟัสคูลงเป็นทาส แต่กัลลิเวอร์ต้องการปลดปล่อยพวกนั้นไป ฝ่ายสนับสนุนกัลลิเวอร์พากันไปที่รัฐสภา เพื่อเจรจาสงบศึก ทำให้ฝ่ายราชสำนักไม่พอใจกัลลิเวอร์ กัลลิเวอร์ตัดสินใจเดินทางไปเมืองเบลฟัสคู พระราชา และชาวเมืองนั้นให้การต้อนรับกัลลิเวอร์อย่างดี จนวันหนึ่งเขาได้พบเรือเล็กลอยมาติดชายฝั่ง ช่างฝีมือของเบลฟัสคู ช่วยกันซ่อมแซมเรือนั้น จนสามารถใช้เดินทางกลับไปยังเมืองศิวิไลซ์ของเขาได้ กัลลิเวอร์ขนวัว และแกะจำนวนหนึ่งไปด้วย ระหว่างการเดินทางเขาก็ได้รับความช่วยเหลือ จากขบวนเรืออังกฤษรับตัวเดินทางกลับไปอังกฤษ แต่คงจะเป็นด้วยใจรักการเดินทาง ทำให้กัลลิเวอร์สามารถอยู่กับครอบครัวได้ไม่นานก็เตรียมตัวออกเดินทางต่อไปกับเรือชื่อแอดเวนเจอร์ (Adventure) มุ่งไปอินเดีย กระแสลมพัดพาเรือไปถึงดินแดนส่วนหนึ่งของไซบีเรีย (Great Tartary) และขณะที่ลูกเรือพากันขึ้นฝั่ง เพื่อเตรียมจัดหาเสบียงเพิ่มเติม ยักษ์ใหญ่ตนหนึ่งไล่ตามคนเหล่านั้นวิ่งกลับไปที่เรือ ส่วนกัลลิเวอร์ที่แยกกลุ่มไปเดินเล่นบนท้องนากลับถูกชาวนาตัวใหญ่สูงถึง 40 ฟุตจับตัวไว้ เขาต้องเปลี่ยนสภาพเป็นเสมือนสัตว์เลี้ยงของครอบครัว ชาวนาที่พากันเห็นเขาเป็นตัวตลกขบขัน มีลูกสาวชาวนาอายุ 9 ขวบที่ยังสูงไม่ถึง 40 ฟุตทำหน้าที่เป็นผู้ดูแล ชาวนาพากัลลิเวอร์ไปเปิดการแสดงครั้งแรกที่ตลาด แล้วต่อจากนั้นก็เข้าไปในเมืองใหญ่ในฐานะเป็นสัตว์เลี้ยงตัวน้อยๆ การแสดงซ้ำๆ หลายครั้งทำให้สุขภาพของกัลลิเวอร์ย่ำแย่ใกล้ตาย ชางนาจึงขายเขาให้พระราชินี พระนางจัดหาหมอมารักษา และทดลองเล่นกับเขาอย่างเป็นตัวประหลาด กัลลิเวร์ต้องเผชิญกับหนูที่ตัวเท่าสิงห์โต และคนแคระที่สูงถึง 30 ฟุต มดตะนอยที่ตัวใหญ่เท่านกกระทา แอปเปิลที่ลูกใหญ่เท่าลูกตุ้ม และก้อนกรวดที่ลูกใหญ่เท่าลูกเทนนิส ต่อมา กัลลิเวอร์ได้เข้าเฝ้าพระราชาที่ทรงซักถามเรื่องราวของประเทศอังกฤษ เขาก็เล่าไปเท่าที่รู้ และเวลาก็ผ่านไปถึงสองปีที่อาณาจักรโบรบดิงนัล (Brobdingna) เมืองยักษ์แห่งนั้น กัลลิเวอร์จึงสามารถหลบหนีออกมาได้ราวปาฎิหารย์ โดยเกาะติดกล่องที่นกพาบินมาทิ้งลงในเรือที่มุ่งเดินทางไปอังกฤษ เมื่อเขากลับมาถึงบ้านครั้งนี้ กัลลิเวอร์มีความสุขมาก ที่ได้มาอยู่ท่ามกลางผู้คนที่มีขนาดใกล้เคียงกับเขา แต่แล้ว กัลลิเวอร์ก็เกิดความต้องการที่จะเดินทางอีกครั้งหนึ่ง เขาเดินทางไปกับเรือตามเคย และก็คงจะซ้ำรอยเดิม เมื่อเรือถูกปล้น กัลลิเวอร์ต้องตุหรัดตุเหร่ไปกับเรือเล็กๆ ไปถึงเกาะแห่งหนึ่ง เขาได้เห็นสิ่งลอยได้อย่างหนึ่งตกลงมาจากบนฟ้า มันเป็นเกาะชื่อลาปูตา (Laputa) มีพระราชา และประชาชนที่โง่จนต้องมีที่ปรึกษาคอยแนะนำทุกเรื่อง แม้แต่ว่าควรจะสนทนาเรื่องอะไร แผ่นดินลอยนี้เคลื่อนไปลอยอยู่เหนือทวีปบัลนิบารี (Balnibari) กัลลิเวอร์ได้รับอนุญาตให้ลงไปเที่ยว เขาได้เห็นวิทยาลัยขนาดใหญ่ที่มีการแสดงโครงการปรับปรุงด้านเกษตรกรรมหลายร้อยโครงการ ที่มองดูแล้วไม่น่าจะทำได้เลย กัลลิเวอร์ลงเรือเดินทางต่อไปเมืองพ่อมดชื่อกลับบ์ดับดริบ( Glubbdubdrib) พ่อมดแห่งเมืองนี้สามารถแปลงตัวเป็นพระเจ้าอะเล็กซานเดอร์มหาราชของกรีซ เป็นฮันนิบีล ซีซาร์ ปอมเปย์ และเซอร์โทมัส มอร์ ทำให้กัลลิเวอร์ได้มีโอกาสสนทนากับบุคคลเหล่านั้น จนได้รู้ว่าแท้จริงแล้วการบันทึกประวัติศาสตร์ที่เขาได้เรียนรู้นั้น ยังมีหลายเรื่องที่คลาดเคลื่อน
กัลลิเวอร์ออกเดินทางต่อไปถึงเมืองลักก์นักก์ (Luggnagg) เขาได้เฝ้าพระราชาที่ทรงมีชีวิตเป็นอมตะ คือไม่ตาย ก่อนที่เขาจะเดินทางต่อไปถึงญี่ปุ่น แล้วจึงเดินทางกลับอังกฤษที่เขาจากไปนานกว่าสามปี
หลังจากการเดินทางไปหลายเมืองที่ผ่านมา เขาจึงได้กลับมาอยู่บ้านอีกครั้งหนึ่ง น่าแปลกที่ครั้งนี้ กัลลิเวอร์กลายเป็นพวกที่ไม่สามารถจะอยู่ที่เดียวอย่างสงบ เขาจึงออกเดินทางจากเมืองปอร์ทมัธ ในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1710 เพื่อมุ่งไปทะเลใต้ แต่ลูกเรือก่อกบฎจับกัปตันกัลลิเวอร์ขังไว้นานเป็นเดือนกว่าที่เขาหนีออกมาได้อีก ครั้งนี้เขาเดินทางไปถึงเกาะของคนครึ่งลิงครึ่งมนุษย์ที่พากันตกใจเมื่อเห็นม้า ทำให้กัลลิเวอร์รู้ว่าเขาเดินทางมาถึงเกาะม้า Houyhnhnms ที่มีความฉลาดหลักแหลมกว่าคนถ่อยยาฮู Yahoos กัลลิเวอร์ต้องอาศัยดำรงชีวิตด้วยการกินเค้กข้าวโอ๊ต และนมแบบเดียวกับพวกคนม้าเหล่านั้น และที่ทำให้พวกคนม้ารู้สึกตกใจก็คือการที่กัลลิเวอร์เล่าว่า ม้าในอังกฤษนั้นกลับต้องรับใช้คนที่มีรูปร่างเหมือนคนถ่อยยาฮู และมีฐานะเป็นสัตว์ป่าด้วยซ้ำ นอกจากนี้ กัลลิเวอร์ยังเล่าเรื่องต่างๆ อีกหลายเรื่องเช่นเรื่องการตัดสินคดี และความเป็นอยู่ของชาวอังกฤษให้ม้าแสนฉลาดเหล้านั้นฟัง กัลลิเวอร์ทำเหมือนกับที่เวลาเขาไปถึงดินแดนอื่นๆ มาแล้วคือพยายามเล่าถึงประเทศของตน ซึ่งม้าเหล่านี้พากันตกตกใจไม่น้อย กับเรื่องที่ได้รับรู้ว่าม้ากลายเป็นทาสของคนในบ้านเมืองของกัลลิเวอร์
กัลลิเวอร์อาศัยอยู่ที่เมืองม้านานจนวันหนึ่ง ที่ประชุมสภาม้าได้มีการประชุมตัดสินว่า กัลลิเวอร์ควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไปที่เมืองม้า โดยมีฐานะเช่นเดียวกับพวกยาฮู หรือควรจะปล่อยให้เขาว่ายน้ำกลับไปบ้านเกิดเมืองนอนของเขา กัลลิเวอร์ไม่อยากว่ายน้ำ จึงแอบต่อเรือหนี โชคดีที่เขาได้พบกับกองเรือปอร์ตุเกส แต่อาจจะเป็นด้วยเขาอยู่เมืองม้านานพอที่จะซึมซับว่ามนุษย์คือยาฮูแสนโง่ เขาจึงพลอยเกลียดมนุษย์ เมื่อ
การแปล กรุณารอสักครู่..