ขณะนี้ Social Media แพร่หลายมากในบ้านเรา ยิ่งกว่าโรคระบาด ลามไปในทุกที การแปล - ขณะนี้ Social Media แพร่หลายมากในบ้านเรา ยิ่งกว่าโรคระบาด ลามไปในทุกที อังกฤษ วิธีการพูด

ขณะนี้ Social Media แพร่หลายมากในบ้



ขณะนี้ Social Media แพร่หลายมากในบ้านเรา ยิ่งกว่าโรคระบาด ลามไปในทุกที่ ทุกแห่ง ทุกวงการ


เพราะด้วยธรรมชาติของสื่อที่สะดวก รวดเร็ว ส่งเมื่อไหร่ก็ได้ผลเมื่อนั้น ที่สำคัญ ยังมีลูกเล่นแพรวพราว คนจึงเข้าไปอินไปสนุก เอ็นจอยโดยไม่เบื่อ

ไม่เว้นแม้แต่ในแวดวงการเมือง ที่ชุมชนนี้เข้าไปมีอิทธิพลในหลายรูปแบบ ไม่แพ้สังคมอื่นๆ

ที่เห็นได้ชัด ก็เช่นการโพสต์กระทู้ ขัดแย้ง หรือต่อต้านความเห็นที่ไม่เข้าท่า หรือแตกต่างจากความคิดส่วนตัว บางครั้งก็ช่วยเปิดโปงความจริง ให้คนอื่นได้รับรู้

หรือไม่ก็เป็นการร่วมระดมพลพรรค ออกโรงชุมนุมตามสิทธิ์ที่มีในรัฐธรรมนูญ ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เล่นเอาสื่ออื่นฮือฮาเอามาพาดหัวข่าว คนใหญ่คนโตในบ้านเมืองก็ยังแคร์และให้ความสำคัญกับเขาด้วย

หนักที่สุดผมเห็นขนาดที่ว่า ใครที่มีความคิดเป็นพิษภัยต่อบ้านเมือง หรือสถาบันหลักของชาติ สังคมออนไลน์ ก็พร้อมจะช่วยกันแฉ เอามาตีแผ่ ประจานให้คนอื่นๆ ได้รับรู้ไปด้วย

ล่าสุดผมอาศัยช่วงว่างวันหยุดยาวจากเหตุไม่สงบ เข้าไปอ่าน Burson Marsteller 2010 Global Social Media Check Up Report ที่ได้รายงานผลวิจัยกับบริษัท Top 100 ที่ติดอันดับในนิตยสาร Fortune เรื่องการใช้ Social Media โดยแบ่งออกเป็นบริษัทในยูเอส 29 แห่ง ยุโรป 48 แห่ง เอเชียแปซิฟิก 20 แห่ง และละตินอเมริกา 3 แห่ง

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ร้อยละ 79 ของบริษัทฯ ที่ว่าเคยใช้ Social Network อย่างน้อยหนึ่งอย่างจากบริการ Twitter , facebook, Youtube หรือแม้กระทั่งบล็อกของตัวเองที่สร้างเพื่อใช้กันภายใน ในนี้มีถึง 20% ที่ระดมใช้ทั้ง 4 อย่างเลยทีเดียว

สะท้อนว่าบรรดาข้อถกเถียงทั้งหลายที่เคยมี เช่น บริษัทฯ ควรเปิดให้พนักงานใช้ Social Media หรือไม่? หรือควรเปิดใช้เวลาใด? ใครควรใช้ ใครไม่ควรใช้? กลายเป็นประเด็นที่ถูกยิงตกไปโดยปริยาย

อีกมุมหนึ่ง วันนี้แทบไม่มีองค์กรไหนไม่รู้จัก Social Media ซะด้วยซ้ำ ขนาดออฟฟิศผม ผู้บริหารก็ยังคุยกันสร้างเป็นนโยบายใหม่ อย่าให้อายุเป็นอุปสรรค เราต้องก้าวให้ทันเทรนด์ ใครไม่มีไม่เล่น เชยที่สุด ตกยุคเอาดื้อๆ เผลอๆ จะซวยขนาดตามผู้บริโภคไม่ทัน และกลายเป็นองค์กรล้าหลังในที่สุด

ผมได้คุยกับเพื่อนๆ อีกหลายคน ได้ยินว่าผู้บริหารบางองค์กรก็เริ่มเปลี่ยนทัศนคติด้วย ที่เคยใจแคบ กลัวพนักงานจะเบียดบังเวลา นั่งเล่นเกม อัพโหลดรูปส่วนตัว แชทกับเพื่อน ก็ไม่กลัวอีกต่อไป

เรื่องนี้ ยิ่งห้าม ก็ยิ่งโดนต่อต้าน การไม่มีไม่ใช่ทางออกของการแก้ปัญหา ถ้าพื้นฐานองค์กรดี ไม่เอาเปรียบพนักงาน ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนเอาเปรียบ

ทัศนะส่วนตัว ผมว่าให้พนักงานเข้าไปล็อกอินบ้าง เอ็นจอยบ้าง Productivity ในงานน่าจะดีขึ้น เพราะคนไม่ใช่เครื่องจักร ที่ทำงานโดยไม่มีชีวิตจิตใจ หรือแบ่งแยกระหว่างงาน กับ ความเพลิดเพลินไม่เป็น

ถ้าให้ฟันธงเลย ผมสนับสนุนว่า Social Media ควรจะมีในองค์กรอย่างแรง และไม่ใช่มีธรรมดาด้วยนะครับ ต้องตักตวงขีดความสามารถ และใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในทุกๆ บริบทที่จะทำได้

ง่ายที่สุด ต้องใช้เป็นช่องทางกระจายข้อมูลข่าวสารที่ผู้บริหาร หรือ HR ต้องการแจ้งให้สังคมข้างในได้รับทราบ เรียนรู้ หรือปฏิบัติตาม

ผู้บริหารบางคนพูดไม่เก่ง แต่มักมีประโยคเด็ดๆ ทิปส์สั้นๆ ที่อ่านแล้วโดน ก็สามารถใช้ช่องทางนี้สื่อสารกับลูกทีมได้เหมือนกัน เป็นการสร้าง Learning Organization ได้อีกแบบ

หรือบางท่านสบโอกาสใช้ Social Media สร้างความเป็นกันเอง ตีสนิทกับลูกน้อง ผมก็ชื่นชม เพราะบางครั้งการได้คุยเรื่องส่วนตัวกันบ้าง ได้อัพเดทกิจกรรม ที่ไม่ใช่แค่เรื่องงานกับงาน ได้เห็นรสนิยม งานอดิเรกที่ชอบทำ จะทำให้เราเข้าถึงหัวใจลูกน้องมากขึ้น สัมพันธ์โดยรอบก็จะแนบแน่นตามไปด้วย เกิดอานิสงส์ ลดความเครียดในเนื้องานตามลำดับ

ที่สำคัญที่สุด Social Media ทำให้เรารู้ว่า ลูกน้องเราคิดอะไรอยู่ โกรธเคืองใครหรือไม่ ? หรือไม่พอใจในงานจุดไหน? ถ้ามีความเข้าใจผิดใดๆ เราในฐานะหัวหน้างานจะได้ช่วยเหลือจัดการได้ทันท่วงที ..แต่ลูกน้องคนไหนล่ะที่อยากแอด เจ้านายเป็นเพื่อน?

เหตุผลก็ไม่ซับซ้อนครับ บางทีลูกน้องก็มักจะเผลอบ่น ก่นด่า รำพึงรำพัน และไม่อยากให้เจ้านายได้รู้ เพราะคิดว่านี่คือโลกส่วนตัว โลกที่ต้องการกันคนที่ไม่ใช่พวกตัวเองออก

ไม่ผิดหรอกครับ เพราะโลกไซเบอร์คือสิทธิ์ส่วนบุคคล แต่การปฏิเสธไม่รับ สำหรับผมคือเรื่องน่าเกลียด เพราะเท่ากับว่าเราแยกแยะไม่ได้ และปิดหนทางที่อาจนำไปสู่มิตรภาพที่ดีงามระหว่างกัน

เปิดใจเสียใหม่ครับ อยากให้มองโลกในแง่ดี นี่คืออีกหนึ่งโอกาสที่เราจะได้เรียนรู้กันและกัน ตัวตนของเจ้านายที่แท้จริง อาจไม่ใช่สิ่งที่เขาแสดงออกก็ได้ หัวโขนที่เขาได้รับ อาจทำให้ต้องสวมบทโหดในบางครั้ง ช่วงชีวิตของผม ก็เคยเข้าใจคนผิดไป หลังๆ ผมเริ่มเรียนรู้ว่า “คนดีไม่มีใครอยากทำร้ายจิตใจคนอื่นหรอกครับ”

แม้ Social Media จะอิสรเสรีแค่ไหน ยังไงเราก็ต้องเคารพสิทธิส่วนบุคคลของคนอื่นๆ ด้วย ก่อนที่จะพูด จะคอมเมนท์ใดๆ ก็ต้องคิดหน้า ระวังหลัง และเขียนอย่างมีสติ

เหตุที่ผมต้องเตือนกันก่อน เพราะไล่หลังมานี้ เหตุบ้านการเมือง ทำให้คนไทยเริ่มใช้วาจารุนแรงมากขึ้น พร้อมจะห้ำหั่น หรือฆ่ากันให้ตายได้ เพียงแค่ ไม่ใช่พวกเดียวกัน หรือมีความเห็นแตกต่าง เลือกที่จะอยู่อีกฝ่ายหนึ่ง

เพื่อนรุ่นพี่ที่รู้จัก เคยให้มุมมองในเรื่องนี้อย่างน่าสนใจว่า “การที่เราบ่นด่า สบถโดยใช้คำไม่สุภาพบน facebook อาจไม่ต่างอะไรกับคนเสเพลที่ชอบผรุสวาท ด้วยภาษาที่เปรอะเปื้อนบนกำแพงสาธารณะ”

ผมเห็นด้วยนะครับ ยิ่งเราใช้ภาษาไม่ดีแค่ไหน มันก็สะท้อนกลับมาถึงตัวเองเท่านั้น Social Network Citizen คนอื่นๆ จะตัดสินวิธีคิด จากวิธีพูดของเรา

สำหรับคนที่เป็นเจ้านายนั้น ผมชวนให้รู้จักปล่อยวางเหมือนกัน และอย่าเพิ่งด่วนตัดสินลูกน้องจากสิ่งที่เขาเขียน หรือพูดบนสื่อสาธารณะ ในบางครั้ง เขาอาจแค่บ่นเฉยๆ โดยไม่คิดอะไร เพราะธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเครียด หรือหงุดหงิด ก็ต้องแสดงออกเป็นธรรมดา

หรือจริงๆ อาจพบว่า สิ่งที่เขาบ่น เขาพูดอาจไม่เกี่ยวกับงานเลย เขาอาจพูดขึ้นมาลอยๆ โดยเรื่องนั้นเป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องครอบครัว เรื่องหัวใจของเขาก็เป็นได้

หน้าที่ของเราในฐานะเจ้านาย ต้องมองห่างๆ อย่างห่วงๆ ครับ ไม่ต้องเข้าไปแทรกแซงโดยไม่จำเป็น เฝ้าดูพฤติกรรมไป เมื่อหนักเข้าๆ ค่อยหาโอกาส ไต่ถามและเสนอทางออกแก้ไขปัญหาร่วมกัน

ว่ามาซะขนาด
0/5000
จาก: -
เป็น: -
ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 1: [สำเนา]
คัดลอก!
ขณะนี้ Social Media แพร่หลายมากในบ้านเรา ยิ่งกว่าโรคระบาด ลามไปในทุกที่ ทุกแห่ง ทุกวงการ เพราะด้วยธรรมชาติของสื่อที่สะดวก รวดเร็ว ส่งเมื่อไหร่ก็ได้ผลเมื่อนั้น ที่สำคัญ ยังมีลูกเล่นแพรวพราว คนจึงเข้าไปอินไปสนุก เอ็นจอยโดยไม่เบื่อไม่เว้นแม้แต่ในแวดวงการเมือง ที่ชุมชนนี้เข้าไปมีอิทธิพลในหลายรูปแบบ ไม่แพ้สังคมอื่นๆที่เห็นได้ชัด ก็เช่นการโพสต์กระทู้ ขัดแย้ง หรือต่อต้านความเห็นที่ไม่เข้าท่า หรือแตกต่างจากความคิดส่วนตัว บางครั้งก็ช่วยเปิดโปงความจริง ให้คนอื่นได้รับรู้หรือไม่ก็เป็นการร่วมระดมพลพรรค ออกโรงชุมนุมตามสิทธิ์ที่มีในรัฐธรรมนูญ ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เล่นเอาสื่ออื่นฮือฮาเอามาพาดหัวข่าว คนใหญ่คนโตในบ้านเมืองก็ยังแคร์และให้ความสำคัญกับเขาด้วยหนักที่สุดผมเห็นขนาดที่ว่า ใครที่มีความคิดเป็นพิษภัยต่อบ้านเมือง หรือสถาบันหลักของชาติ สังคมออนไลน์ ก็พร้อมจะช่วยกันแฉ เอามาตีแผ่ ประจานให้คนอื่นๆ ได้รับรู้ไปด้วยล่าสุดผมอาศัยช่วงว่างวันหยุดยาวจากเหตุไม่สงบ เข้าไปอ่าน Burson Marsteller 2010 Global Social Media Check Up Report ที่ได้รายงานผลวิจัยกับบริษัท Top 100 ที่ติดอันดับในนิตยสาร Fortune เรื่องการใช้ Social Media โดยแบ่งออกเป็นบริษัทในยูเอส 29 แห่ง ยุโรป 48 แห่ง เอเชียแปซิฟิก 20 แห่ง และละตินอเมริกา 3 แห่งไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ร้อยละ 79 ของบริษัทฯ ที่ว่าเคยใช้ Social Network อย่างน้อยหนึ่งอย่างจากบริการ Twitter , facebook, Youtube หรือแม้กระทั่งบล็อกของตัวเองที่สร้างเพื่อใช้กันภายใน ในนี้มีถึง 20% ที่ระดมใช้ทั้ง 4 อย่างเลยทีเดียว สะท้อนว่าบรรดาข้อถกเถียงทั้งหลายที่เคยมี เช่น บริษัทฯ ควรเปิดให้พนักงานใช้ Social Media หรือไม่? หรือควรเปิดใช้เวลาใด? ใครควรใช้ ใครไม่ควรใช้? กลายเป็นประเด็นที่ถูกยิงตกไปโดยปริยาย
อีกมุมหนึ่ง วันนี้แทบไม่มีองค์กรไหนไม่รู้จัก Social Media ซะด้วยซ้ำ ขนาดออฟฟิศผม ผู้บริหารก็ยังคุยกันสร้างเป็นนโยบายใหม่ อย่าให้อายุเป็นอุปสรรค เราต้องก้าวให้ทันเทรนด์ ใครไม่มีไม่เล่น เชยที่สุด ตกยุคเอาดื้อๆ เผลอๆ จะซวยขนาดตามผู้บริโภคไม่ทัน และกลายเป็นองค์กรล้าหลังในที่สุด

ผมได้คุยกับเพื่อนๆ อีกหลายคน ได้ยินว่าผู้บริหารบางองค์กรก็เริ่มเปลี่ยนทัศนคติด้วย ที่เคยใจแคบ กลัวพนักงานจะเบียดบังเวลา นั่งเล่นเกม อัพโหลดรูปส่วนตัว แชทกับเพื่อน ก็ไม่กลัวอีกต่อไป

เรื่องนี้ ยิ่งห้าม ก็ยิ่งโดนต่อต้าน การไม่มีไม่ใช่ทางออกของการแก้ปัญหา ถ้าพื้นฐานองค์กรดี ไม่เอาเปรียบพนักงาน ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนเอาเปรียบ

ทัศนะส่วนตัว ผมว่าให้พนักงานเข้าไปล็อกอินบ้าง เอ็นจอยบ้าง Productivity ในงานน่าจะดีขึ้น เพราะคนไม่ใช่เครื่องจักร ที่ทำงานโดยไม่มีชีวิตจิตใจ หรือแบ่งแยกระหว่างงาน กับ ความเพลิดเพลินไม่เป็น

ถ้าให้ฟันธงเลย ผมสนับสนุนว่า Social Media ควรจะมีในองค์กรอย่างแรง และไม่ใช่มีธรรมดาด้วยนะครับ ต้องตักตวงขีดความสามารถ และใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในทุกๆ บริบทที่จะทำได้

ง่ายที่สุด ต้องใช้เป็นช่องทางกระจายข้อมูลข่าวสารที่ผู้บริหาร หรือ HR ต้องการแจ้งให้สังคมข้างในได้รับทราบ เรียนรู้ หรือปฏิบัติตาม

ผู้บริหารบางคนพูดไม่เก่ง แต่มักมีประโยคเด็ดๆ ทิปส์สั้นๆ ที่อ่านแล้วโดน ก็สามารถใช้ช่องทางนี้สื่อสารกับลูกทีมได้เหมือนกัน เป็นการสร้าง Learning Organization ได้อีกแบบ

หรือบางท่านสบโอกาสใช้ Social Media สร้างความเป็นกันเอง ตีสนิทกับลูกน้อง ผมก็ชื่นชม เพราะบางครั้งการได้คุยเรื่องส่วนตัวกันบ้าง ได้อัพเดทกิจกรรม ที่ไม่ใช่แค่เรื่องงานกับงาน ได้เห็นรสนิยม งานอดิเรกที่ชอบทำ จะทำให้เราเข้าถึงหัวใจลูกน้องมากขึ้น สัมพันธ์โดยรอบก็จะแนบแน่นตามไปด้วย เกิดอานิสงส์ ลดความเครียดในเนื้องานตามลำดับ

ที่สำคัญที่สุด Social Media ทำให้เรารู้ว่า ลูกน้องเราคิดอะไรอยู่ โกรธเคืองใครหรือไม่ ? หรือไม่พอใจในงานจุดไหน? ถ้ามีความเข้าใจผิดใดๆ เราในฐานะหัวหน้างานจะได้ช่วยเหลือจัดการได้ทันท่วงที ..แต่ลูกน้องคนไหนล่ะที่อยากแอด เจ้านายเป็นเพื่อน?

เหตุผลก็ไม่ซับซ้อนครับ บางทีลูกน้องก็มักจะเผลอบ่น ก่นด่า รำพึงรำพัน และไม่อยากให้เจ้านายได้รู้ เพราะคิดว่านี่คือโลกส่วนตัว โลกที่ต้องการกันคนที่ไม่ใช่พวกตัวเองออก

ไม่ผิดหรอกครับ เพราะโลกไซเบอร์คือสิทธิ์ส่วนบุคคล แต่การปฏิเสธไม่รับ สำหรับผมคือเรื่องน่าเกลียด เพราะเท่ากับว่าเราแยกแยะไม่ได้ และปิดหนทางที่อาจนำไปสู่มิตรภาพที่ดีงามระหว่างกัน

เปิดใจเสียใหม่ครับ อยากให้มองโลกในแง่ดี นี่คืออีกหนึ่งโอกาสที่เราจะได้เรียนรู้กันและกัน ตัวตนของเจ้านายที่แท้จริง อาจไม่ใช่สิ่งที่เขาแสดงออกก็ได้ หัวโขนที่เขาได้รับ อาจทำให้ต้องสวมบทโหดในบางครั้ง ช่วงชีวิตของผม ก็เคยเข้าใจคนผิดไป หลังๆ ผมเริ่มเรียนรู้ว่า “คนดีไม่มีใครอยากทำร้ายจิตใจคนอื่นหรอกครับ”

แม้ Social Media จะอิสรเสรีแค่ไหน ยังไงเราก็ต้องเคารพสิทธิส่วนบุคคลของคนอื่นๆ ด้วย ก่อนที่จะพูด จะคอมเมนท์ใดๆ ก็ต้องคิดหน้า ระวังหลัง และเขียนอย่างมีสติ

เหตุที่ผมต้องเตือนกันก่อน เพราะไล่หลังมานี้ เหตุบ้านการเมือง ทำให้คนไทยเริ่มใช้วาจารุนแรงมากขึ้น พร้อมจะห้ำหั่น หรือฆ่ากันให้ตายได้ เพียงแค่ ไม่ใช่พวกเดียวกัน หรือมีความเห็นแตกต่าง เลือกที่จะอยู่อีกฝ่ายหนึ่ง

เพื่อนรุ่นพี่ที่รู้จัก เคยให้มุมมองในเรื่องนี้อย่างน่าสนใจว่า “การที่เราบ่นด่า สบถโดยใช้คำไม่สุภาพบน facebook อาจไม่ต่างอะไรกับคนเสเพลที่ชอบผรุสวาท ด้วยภาษาที่เปรอะเปื้อนบนกำแพงสาธารณะ”

ผมเห็นด้วยนะครับ ยิ่งเราใช้ภาษาไม่ดีแค่ไหน มันก็สะท้อนกลับมาถึงตัวเองเท่านั้น Social Network Citizen คนอื่นๆ จะตัดสินวิธีคิด จากวิธีพูดของเรา

สำหรับคนที่เป็นเจ้านายนั้น ผมชวนให้รู้จักปล่อยวางเหมือนกัน และอย่าเพิ่งด่วนตัดสินลูกน้องจากสิ่งที่เขาเขียน หรือพูดบนสื่อสาธารณะ ในบางครั้ง เขาอาจแค่บ่นเฉยๆ โดยไม่คิดอะไร เพราะธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเครียด หรือหงุดหงิด ก็ต้องแสดงออกเป็นธรรมดา

หรือจริงๆ อาจพบว่า สิ่งที่เขาบ่น เขาพูดอาจไม่เกี่ยวกับงานเลย เขาอาจพูดขึ้นมาลอยๆ โดยเรื่องนั้นเป็นเรื่องส่วนตัว เรื่องครอบครัว เรื่องหัวใจของเขาก็เป็นได้

หน้าที่ของเราในฐานะเจ้านาย ต้องมองห่างๆ อย่างห่วงๆ ครับ ไม่ต้องเข้าไปแทรกแซงโดยไม่จำเป็น เฝ้าดูพฤติกรรมไป เมื่อหนักเข้าๆ ค่อยหาโอกาส ไต่ถามและเสนอทางออกแก้ไขปัญหาร่วมกัน

ว่ามาซะขนาด
การแปล กรุณารอสักครู่..
ผลลัพธ์ (อังกฤษ) 3:[สำเนา]
คัดลอก!


now Social Media very prevalent in our than plague spread everywhere everywhere, all circles


.Because of the nature of media is convenient, quick, send whenever the then important. ยังมีลูก play tricky people went in to the fun. Enjoy without boring

.
การแปล กรุณารอสักครู่..
 
ภาษาอื่น ๆ
การสนับสนุนเครื่องมือแปลภาษา: กรีก, กันนาดา, กาลิเชียน, คลิงออน, คอร์สิกา, คาซัค, คาตาลัน, คินยารวันดา, คีร์กิซ, คุชราต, จอร์เจีย, จีน, จีนดั้งเดิม, ชวา, ชิเชวา, ซามัว, ซีบัวโน, ซุนดา, ซูลู, ญี่ปุ่น, ดัตช์, ตรวจหาภาษา, ตุรกี, ทมิฬ, ทาจิก, ทาทาร์, นอร์เวย์, บอสเนีย, บัลแกเรีย, บาสก์, ปัญจาป, ฝรั่งเศส, พาชตู, ฟริเชียน, ฟินแลนด์, ฟิลิปปินส์, ภาษาอินโดนีเซี, มองโกเลีย, มัลทีส, มาซีโดเนีย, มาราฐี, มาลากาซี, มาลายาลัม, มาเลย์, ม้ง, ยิดดิช, ยูเครน, รัสเซีย, ละติน, ลักเซมเบิร์ก, ลัตเวีย, ลาว, ลิทัวเนีย, สวาฮิลี, สวีเดน, สิงหล, สินธี, สเปน, สโลวัก, สโลวีเนีย, อังกฤษ, อัมฮาริก, อาร์เซอร์ไบจัน, อาร์เมเนีย, อาหรับ, อิกโบ, อิตาลี, อุยกูร์, อุสเบกิสถาน, อูรดู, ฮังการี, ฮัวซา, ฮาวาย, ฮินดี, ฮีบรู, เกลิกสกอต, เกาหลี, เขมร, เคิร์ด, เช็ก, เซอร์เบียน, เซโซโท, เดนมาร์ก, เตลูกู, เติร์กเมน, เนปาล, เบงกอล, เบลารุส, เปอร์เซีย, เมารี, เมียนมา (พม่า), เยอรมัน, เวลส์, เวียดนาม, เอสเปอแรนโต, เอสโทเนีย, เฮติครีโอล, แอฟริกา, แอลเบเนีย, โคซา, โครเอเชีย, โชนา, โซมาลี, โปรตุเกส, โปแลนด์, โยรูบา, โรมาเนีย, โอเดีย (โอริยา), ไทย, ไอซ์แลนด์, ไอร์แลนด์, การแปลภาษา.

Copyright ©2025 I Love Translation. All reserved.

E-mail: