However, her administration is under the pressure of the opposition all the time. When the opponent tries to catch her in action as a mistake that they called a "final manage Mishal Thaksin" at all times, therefore, the higher the image's Miss; speaking or writing, even a small error, it will be criticized by political opponents and.A group of people who did not support the party to Thailand on a regular basis, with any questions regarding the ability of her as Prime Minister. However, the policy in the era of more compelling is Ms. populist policy, single format, with Thaksin's policies in. Featured in this series, including government policies, project, project car, the first rice pledge. Construction of the high-speed rail project to up 300 baht minimum wage etc. These projects often attack from opposition parties and a group of people who do not support any political party, to Thailand, including some academic disciplines that may cause the bankruptcy of the country in the future. They did not look at the other side say such populist policies will have an advantage in terms of the needs of the people it is concrete.แต่ท้ายที่สุด รัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ก็ต้องเดินมาถึงจุดจบในปี ค.ศ.2014 เมื่อรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ได้พยายามผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดองเข้าสู่รัฐสภา เพื่อหวังยุติความขัดแย้งทางการเมืองกับฝ่ายต่อต้านและช่วยให้ทักษิณพ้นจากความผิด พรรคประชาธิปัตย์ได้ฉวยโอกาสนี้ในการเล่นเกมการเมืองทั้งในสภาและนอกสภาเพื่อโค่นล้มรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์โดยยกสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “ระบอบทักษิณ” ขึ้นมาอีกครั้ง แน่นอนที่สุดว่า พรรคประชาธิปัตย์สามารถคัดค้านร่างกฎหมายดังกล่าวด้วยการอภิปรายข้อบกพร่องของร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวและหาแนวร่วมในการสนับสนุนจากกลุ่มมวลชนที่ไม่พอใจในเนื้อหาบางส่วนของพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวได้ แต่สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์เลือกทำในการอภิปรายในสภานั้นอาจเรียกได้ว่า “ดิบ เถื่อน และถ่อย” สิ้นดี มีทั้งการขว้างปาสิ่งของ การแย่งเก้าอี้ประธานสภา และการเข้าล้อมประธานสภาในระหว่างการประชุม ที่แย่ไปกว่านั้น นายอภิสิทธิ์ถึงกับแถลงสนับสนุนการกระทำดังกล่าวว่า หากพรรคประชาธิปัตย์จะต้องเสียภาพลักษณ์ เพื่อสกัดกั้นกฎหมายทำลายชาติก็ต้องยอมรับ แม้ว่านายอภิสิทธิ์จะพยายามแก้ต่างพฤฒิกรรมของตนเองและพรรคพวกในสภาว่าเป็นการ “เสียภาพลักษณ์เพื่อชาติ” กระทั่งนายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายสมเกียรติ อ่อนวิมล นักข่าวและสาวกพันธุ์แท้ของพรรคประชาธิปัตย์ ยังต้องออกมาตำหนิพฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ ในความคิดของคนทั่วไป อนาคตทางการเมืองของนายอภิสิทธิ์ได้หมดสิ้นไปแล้ว ถึงแม้พรรคเพื่อไทยจะเริ่มลดความนิยมลง หรือแม้พรรคประชาธิปัตย์จะได้รับแรงสนับสนุนจากกลไกอำนาจพิเศษมากแค่ไหน โอกาสที่นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์จะกลับมาครองอำนาจทางการเมืองอีกครั้งก็แทบมองไม่เห็นทางเลย หากพรรคประชาธิปัตย์ยังคงมีพฤติกรรมแบบเดิมและไม่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับตัวเองในทางบวกขึ้นมาเป็นที่พึ่งของประชาชนเพื่อคานอำนาจกับพรรคเพื่อไทยแล้ว สภาพการเมืองขั้วเดียว โดยมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคฝ่ายค้านก็จะเกิดขึ้นในการเมืองไทยอย่างสมบูรณ์
การแปล กรุณารอสักครู่..