พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์仙佛慈訓
พระโอวาทสงฆ์จี้กงวิปลาสแห่งซีหู
濟公活佛慈訓
ประทานไว้เนื่องในโอกาสประชุมธรรม 2 วัน ณสถานธรรมไท่จง
兩天率性進修班 泰中佛堂
24/07/2005 เวลา 16:45 น. – 18:45 น.
西元二00五年 歲次乙酉六月十九日
ได้ค้นพบตัวตนชีวิตจริง รู้ชัดยิ่งกายสังขารรูปสมมติ
ควรบำเพ็ญธรรมจิตบริสุทธิ์ โดยอาศัยสิ่งสมมติบำเพ็ญธรรมแท้
เราคือ
สงฆ์จี้กงวิปลาสแห่งซีหู รับบัญชาจาก
พระอนุตตรธรรมมารดา ลงสู่โลกา แฝงกายเคียมคัล
องค์มารดาแล้ว ถามศิษย์รักทั้งหลายสบายดีไหม
พระอาจารย์จี้กง :
คอยมา 2 วันแล้ว ช้าไปอีกนิดเดียวก็จะปิดชั้นเรียน กลับบ้านกันแล้วเอาล่ะ มาก็มา เรามีบุญสัมพันธ์ก็ได้มีโอกาสเจออาจารย์ถ้าไม่มีบุญสัมพันธ์ก็ไม่มีโอกาสเจอกัน นี่เป็นหลักสัจธรรมเรามีจิตเชื่อมั่นศรัทธา เราก็มีบุญสัมพันธ์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเราไม่มีจิตเชื่อมั่นศรัทธาพุทธะนั่งอยู่ที่นี่เราก็ไม่รู้กัน ใช่ไหม รู้ไหมอาจารย์มาที่นี่ 7 วันแล้วก็เห็นบุคลากรบางคนมาช่วยทำงานอยู่แล้ว แต่บางคนพูดมากกว่าทำ เพราะอะไรเพราะว่าคนที่พูดมากกว่าทำ อนาคตก็เป็นอาจารย์บรรยายธรรมได้ ใช่ไม่ใช่เพราะคนที่พูดมากกว่าทำก็คือ ขึ้นเวทีพูดๆทั้งวันเลย ฉะนั้นแต่ละคนรู้แก่ตัวเองใครพูดมากกว่าทำ ใครทำมากกว่าพูด บางคนทำมากแต่พูดน้อยถ้าคนที่ทำมากแล้วพูดน้อยอย่างนี้เป็นอะไรล่ะ เป็นแม่ครัวดีไหม
พระอาจารย์ให้เจียงเตี่ยนฉวนซือเอาเหรียญบาท 1 เหรียญ
ให้พระอาจารย์ซึ่งเจียงเตี่ยนฉวนซือมีเงินอยู่ในกระเป๋า 1บาทพอดี
รู้ไหมนี่ช่วยชีวิตเจ้านะ(หมายถึงเจียงเตี่ยนฉวนซือ)
หลัง 3วันไปแล้วให้เจ้ามาเอาไป เข้าใจไหม
พระอาจารย์มาหาศิษย์ ณ เวลานี้ แต่จริงๆก็ไม่อยากจะมา เพราะอยากจะให้ศิษย์ทั้งหลายจบชั้นเรียนไปโดยราบรื่นไม่ต้องรอ ไม่ต้องร้องเพลงแล้วร้องเพลงอีก ถ้าพระอาจารย์จะมาก็คือมา แต่ถ้าไม่มาร้องยังไงอาจารย์ก็ไม่มา ก็เห็นแก่เจ้าทุกคนมีจิตใจอันดีงามที่จะตั้งใจฟังธรรมะ เราทุกคนต่างก็ไม่รู้ว่าหนทางที่เราได้ก้าวเข้ามานี้เป็นหนทางอะไรกันแน่ ครเป็นผู้นำใครเป็นผู้ที่ไปประกาศ มีนายหน้าหรือเปล่าต้นสายปลายเหตุเป็นอย่างไร หลายคนก็ไม่รู้ หนทางนี้อุบัติตั้งแต่เมื่อไรเกิดขึ้นได้อย่างไร หลายคนก็ไม่รู้ ไม่ทราบกัน ตั้งแต่เด็กจนโต มาจนถึงปัจจุบันรู้แต่ศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม แต่ว่าเส้นทางนี้ไม่เคยรู้เมื่อวันนี้เราได้ก้าวเข้ามา ได้ฟังจนจบหัวข้อไป เราก็น่าที่จะคิดวิเคราะห์พิจารณา และเราจะไม่กลับไปโดยสงสัย เราจะไม่กลับบ้านไปโดยไม่ชัดเจนเพราะทุกคนมีใจอยากจะมาฟัง เมื่อมีใจอยากจะมาฟังก่อนอื่นเราก็ต้องถามใจของเราว่าเปิดหรือยัง หากเราเปิดใจ แน่นอนสิ่งที่เขาบอกกล่าวที่เขาบอกเหตุและผลจะเป็นหลักธรรมที่ไม่เคยฟังก็ดี หรือที่ได้เคยฟังมาก็ดี ใจเราเปิดเปิดที่จะรับ เขามีคำพูดว่า “ยิ่งเรียนก็ยิ่งรู้” ความรู้มันไม่ได้แบ่งชนชั้นวรรณะไม่ได้แบ่งภาษา รวยจนศึกษาได้เท่ากัน เมื่อการเรียนรู้ของแต่ละคน สามารถที่จะเรียนรู้ไปค้นคว้าไปจนได้ค้นพบ มันก็เริ่มจากจิตใจของเราเช่นกัน ว่าเราคิดที่จะมาศึกษาไหม เราไปทำบุญตักบาตรก่อนอื่นเราจะต้องทำให้จิตใจเราผ่องแผ้ว การทำบุญตักบาตรจึงจะได้ผลเพราะใจของเราถูกปลูกฝังมาอย่างนั้น ตอนเรายังเด็ก พ่อแม่ก็บอกเราว่าการทำบุญทำความดีเป็นสิ่งที่ดี พระท่านจะคุ้มครอง ปลูกฝังมารุ่นแล้วรุ่นเล่า ไม่ว่าคริสต์ อิสลามพุทธ ปราชญ์ ก็ล้วนแต่ปลูกฝังกันมา เนื้อหาคล้ายๆกันแต่ที่หนีไม่พ้นเลยก็คือหลักความจริงของชีวิตเมื่อห้าศาสนาสอนให้เรารู้ว่าหลักความจริงของชีวิต ไม่มีใครจะหนีพ้นไม่ว่าท่านนั้นจะอยู่วรรณะสูงส่ง ร่ำรวย หรือยากจนแต่หลักความจริงของชีวิตก็ยังเป็นเรื่องที่สมควรเป็นอย่างยิ่งที่เราทุกๆคนจะต้องเรียนรู้กันเราปฏิเสธหลักความจริงของชีวิตไม่ได้ หลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงเราจะต่อต้านถึงเราจะปฏิเสธ แต่ในความเป็นจริงชีวิตที่ดำรงอยู่นี้มันก็จะต้องอยู่กับชีวิตความเป็นจริง มีใครบ้างที่มีชีวิตแบบจอมปลอมมันเกิดจากอะไรล่ะ ความจอมปลอมเราเป็นคนตั้งสมมุติฐานขึ้นเพราะว่าใจของเราตั้งสมมุติฐานคือความจอมปลอม เพราะว่าความจริงมันรับไม่ได้ความเป็นจริงของชีวิต เมื่อได้เห็น เมื่อได้สัมผัส มันเจ็บปวดเมื่อมันเจ็บปวดมันไม่มีภูมิคุ้มกัน ก็เลยต้องหาสิ่งที่เป็นเกราะป้องกันจิตใจหรือตัวของเราเองโดยการหาสิ่งจอมปลอมนั้นเข้ามา หรือให้มันเกิดขึ้นในใจของเราแต่สุดท้ายแล้ว เราก็ยังจะต้องดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางฟ้าและดินอยู่ท่ามกลางความเป็นจริงวันแล้ววันเล่าซึ่งบางครั้งศิษย์ทั้งหลายไม่รู้หรอกว่าที่เราดำรงชีวิตวันแล้ววันเล่าท่ามกลางความเป็นจริงนั้น เราน่าจะได้คุณค่าของชีวิตมากกว่าเดิมหรือมากกว่าที่เป็นอยู่ ดีกว่าเอาความจอมปลอมมาปรนเปรอดีกว่าปิดบังสิ่งที่ไม่ดีของตัวเองนี้ไว้ ปิดแล้วปิดเล่า แต่สุดท้ายก็ปิดไม่มิดเพราะเราไม่รู้หลักความจริงของชีวิตนั่นเองห้าศาสนาสอนไว้มีหลักเนื้อหาที่อาจจะมีประโยคแตกต่างกัน แต่มีสาระคล้ายกันความเป็นจริงนั้นห้าศาสนาสอนให้เราทำอะไร ปฏิบัติตัวอย่างไรก็อยู่ที่เราจะใฝ่เรียน ใฝ่ไปค้นหาไหม ถ้าไม่ใฝ่ไปเรียน ไม่ใฝ่ไปค้นหาห้าศาสนานั้นก็ไม่เคยที่จะตายจากไปเลย คำสั่งสอนก็ไม่เคยที่จะตายจากไปในโลกนี้อริยะปราชญ์โบราณก็เช่นกัน ไม่เคยที่จะตายไปจากเรารุ่นแล้วรุ่นเล่า ปัจจุบันนี้เราเองก็ยังเคยได้ยินประวัติสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ละพระองค์ใช่หรือไม่เกิดมาเด็กแค่นี้ บางครั้งเราก็ถูกปลูกฝังแล้วว่าพระพุทธองค์ท่านบำเพ็ญดีอย่างนี้ท่านปฏิบัติดีอย่างนั้น เด็กแค่นี้ในความเป็นจริงเขารู้ไม่มาก แต่เนื่องด้วยการปลูกฝังทีละเล็กทีละน้อย เขาปลูกฝังมา แต่ความหมายไม่รู้เมื่อปลูกฝังมาเรื่อยๆเราคิดที่จะเจริญรอยตาม ก็เหมือนกับมันอยู่ในสายเลือดแล้วพ่อแม่ หรือไม่ก็พี่ ป้า น้า อา พูดให้ฟังทุกวัน ต้องทำบุญตักบาตร ต้องเป็นเด็กดี ปลูกฝังอยู่อย่างนี้แต่เหตุไฉนปลูกฝังอยู่น่าจะได้ดีใช่หรือไม่ เพราะสิ่งดีๆคอยป้อนให้เพราะสิ่งดีๆคอยปลูกฝังให้คนแล้วให้คนเล่า แต่สุดท้ายสิ่งดีๆที่ปลูกฝังไม่ซึมซาบไม่ซึมซาบมันเกิดจากอะไรล่ะ มันก็จะต้องมีเหตุแล้วก็จะต้องมีผลแต่ใครบ้างที่จะมีปัญญาละเอียดอ่อนคิ