อัสลามมุอาลัยกุมวาเราะฮ์มาตุลลอฮิวาบารอกาตู
เรียนท่านประธานที่เคารพ ท่านคณะกรรมการ และสวัสดีค่ะท่านผู้ฟังผู้มีเกียรติทุกท่าน
ดิฉัน ....................................................
ขอนำเสนอ สุนทรพจน์ เรื่อง ประเทศชาติพ้นภัย หากคนไทยรักกัน
จะหักหาญผลาญใจกันไยเล่า ฤา น้ำตาคลอเบ้าไม่พอหรือ
เห็นยื้อยุดฉุดลากกระชากมือ กำมือถืออาวุธไล่ฆ่ากัน
ตะเบ็งโพล่งโก่งเสียงสำเนียงฟ้อง ท่วงทำนองก้องโกรธเหมือนโมหันธ์
หมายสิ่งใดไยเฝ้าเข้าโรมรัน ล้างชีวันผลาญชนจนวุ่นวาย ฯ
ท่านผู้ฟังที่เคารพคะ ที่ดิฉันยกบทประพันธ์นี้ขึ้นมาเพื่อเตือนให้ทุกท่านระลึกถึงความโหดร้ายของช่วงเวลาที่เลวร้ายของสังคมไทย ให้เราทุกคนหันมาเห็นสำคัญของความสามัคคี เพื่อให้เรารอดพ้นวิกฤตการณ์ทางสังคมที่ผ่านมา
หากเปรียบชีวิตคนเหมือนกับต้นไม้ ต้นไม้ต้นหนึ่งย่อมต้องผ่านฤดูกาลอันหลากหลาย เพื่อให้ผ่านเวลาเหล่านั้นต้นไม้ต้องอดทดเรียนรู้ ดั่งคำกล่าวว่า “ ไม่ผ่านร้อน ผ่านฝน ผ่านลมหนาว ก็ไม่อาจเป็นต้นไม้ใหญ่ได้ ไม่ผ่านการเจียระไน ไหนเลยจะหลายเป็นเพชรเม็ดงาม”
ชีวิตคนๆ หนึ่งเป็นต้นไม้ต้นหนึ่ง จะเป็นปุ๋ยของแผ่นดิน เป็นต้นไม้ที่ให้ร่มเงาแก่แผ่นดิน คือเป็นต้นไม้ของแผ่นดิน ประเทศไทยดินแดนอันอุดมด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร
แมกไม้ สายธาร น่านน้ำ ธรรมชาติสดใสไร้มลพิษ ทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมอันมากมายจนดูเหมือนจะใช้ไม่หมดไม่ว่าจะกี่ภพ กี่ชาติ แต่สิ่งเหล่านี้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตามกระแสโลกที่เปลี่ยนไป ในสมัยก่อนการใช้ทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ใช้โดยมือ/แรงงาน ของมวลมนุษยชาติ การสึกกร่อนของธรรมชาติจึงค่อยเป็นค่อยไป
ต้นไม้ เป็นแหล่งกำเนิดต้นน้ำ เมื่อมีแมกไม้มากมาย ยังความชุ่มชื้นให้ผืนดิน เมื่อผืนดินชุ่มชื้น บรรยากาศสดชื่น ผู้คนต่างสดใสหัวใจเบิกบาน การงานบรรลุเป้าหมาย ต้นน้ำลำธารจะคืนมา ดังนั้นการปลูกต้นไม้จึงเท่ากับปลูกต้นน้ำด้วย
ต้นไม้ใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขา ฝูงนกกาใหญ่น้อยพลอยได้อาศัย ร่มไม้ใบบัง ซ่อนตัวหลบพญาเหยี่ยวหรือสัตว์ร้ายนานา ต้นไม้อดทนต่อความซุกซนของเหล่าสรรพสัตว์เล็กใหญ่เหล่านั้น แม้จะอุจจาระใส่ จิกเจาะดอกใบก้านกิ่งให้เสียหายเจ็บปวด ต้องยอมเป็นผืนดินให้ผู้คนเหยียบย่ำ ตามแต่พฤติกรรมที่พึงประสงค์ รองรับทุกอารมณ์ ทุกกิจกรรม ทุกพฤติกรรมที่ถูกกระทำด้วยความซื่อสัตย์อย่างนัยแห่งคุณธรรม แฝงเร้น เต็มเปี่ยมด้วยอำนาจบารมี
ฝูงชน จะทุกข์ – สุขปานใดก็ตาม จักเข้ามาสู่อ้อมกอดของต้นไม้ อาศัยสุมทุมพุ่มไม้ได้บังรังสีอำมหิตที่จะทำร้ายเขาเหล่านั้น เพียงเพราะเขารู้ว่าอยู่ใต้ร่มเงาแห่งต้นไม้แล้วเขาปลอดภัยเท่านั้นเอง นี่คือความยิ่งใหญ่ของต้นไม้ ที่ผู้นำต้องปลูกเป็นต้นไม้แห่งบารมี เป็นผู้นำต้องเป็นที่พึ่งของประชาชน มิใช่ผู้นำภัยสู่ประชาชน ประชาชนต้องเข้าหาพึ่งพาได้ทั้งยามสุขและยามทุกข์
โลกเจริญขึ้นทางวัตถุ ความเป็น “บริโภคนิยม” พุ่งสุดขีดด้วยกำลังแรง ยากที่จะมีสิ่งใดทดแทนได้ กระแสการทำลายล้างยิ่งสูงขึ้นทุกวินาที การใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของคนมิได้ใช้ด้วยแรงงานคนหรือจะมีก็ เพียงส่วนน้อยมาก
การทำลายล้างกันเพื่อการแยกดินแดน การแตกแยกทางความคิก ทำให้สังคมย่อยยับในบัดดลอย่างถอนรากถอนโคน ซึ่งจะเยียวยาหรือทดแทนโดยความรัก ความเข้าใจ ความมีเหตุมีผล การหันหน้าเข้ามาคุยกัน หากคนไทยเราหันมาช่วยสร้างความรัก ความเข้าใจขึ้นมาทดแทน โดยไม่ทำลายฐานความคิดของฝ่ายาตรงข้าม เพียงแต่เราต้องใส่แว่นคนละอัน แว่นแห่งความคิด แว่นแห่งความเข้าใจ แว่นที่สังคมไทยต้องการ
แว่นนั้นชื่อว่า แว่นแห่งความสามัคคี
ผู้นำทุกฝ่ายต้องคิดถึงประชาชน อย่าปล่อยให้ประชาชนคิดเฉย ๆ คิดตามสบายไม่มีทิศทาง ต้องทำให้ประชาชนทั้ง รู้จัดคิด คิดได้ และคิดเป็น ด้วย การรู้จักคิด คือ การมองโลกในแง่ดี คิดในเชิงบวกสร้างสรรค์ การคิดได้ คือ รู้แยกแยะ อะไรถูก อะไรผิด อะไรควร ไม่ควร รู้จักผิดแล้วก็หยุด อย่าไปฝืนหรือดึงดันทุรังทำต่อไปอีก
ส่วนการคิดเป็น คือ การคิดสลับซับซ้อนแก้ปัญหาภาพรวมของชุมชน สังคมได้ มองถึงปัญหาอนาคต มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล มีกระบวนการทำงานการบริหารจัดการ เป็นลักษณะการคิดเชิงบริหาร เมื่อประชาชนรู้จักคิด คิดได้ และคิดเป็น เช่นนี้สังคมร่มรื่นน่าอยู่ เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน หากหลอมความคิดหลากหลายจนเป็นหนึ่งเดียวได้ และทุกคนพร้อมก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยสมานฉันท์ เช่นนี้ เป็นสังคมที่พึงประสงค์มิใช่หรือ
ต้นไม้ และต้นหนจะเป็นรากแก้วของแผ่นดินเป็นฐานให้การปกครองและการพัฒนาสมบูรณ์ยิ่ง ขึ้น หากผู้นำและนักปกครองช่วยกันปลูก และบำรุงรักษาให้เจริญงอกงามในทุกชุมชน สังคม ทั้งประเทศ คือ การสร้างชาติให้แกร่ง แบ่งเบาภาระงานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะพระองค์ท่านมีพระราชปณิธานอย่างแน่วแน่ ที่จะเห็นพสกนิกรทุกรูปนามได้รับการพัฒนาให้อยู่เย็น เป็นสุข โดยทั่วกัน ตามพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” นั่นเอง
วันนี้.............ท่านจะปลูกต้นอะไรให้สังคม
“ชนใดไร้รักสมัครสมาน จะทำการสิ่งใดก็ไร้ผล
แม้ชาติย่อยยับอับจน บุคคลจะสุขอยู่อย่างไร
ต่างคนต่างคิดแค้นเคือง ต่างคนหาเรื่องใส่ร้าย
ต่างคนต่างความคิดและจิตใจ ถ้อยทีถ้อยอาศัยไทยด้วยกัน”
ความเป็นสังคมต้องมีความรักเป็นพื้นฐาน รักชีวิต รักตัวเอง รักครอบครัว รักพวกพ้อง รักชุมชน
รักถิ่นฐานดั่งรักตน รักสังคมเสมือนรักบ้าน รักชาติดั่งครอบครัว
หากไม่มีรักความสามัคคีเป็นพื้นฐานแล้ว สังคมไทยจะอยู่รอดพ้นและจะยั่งยืนได้อย่างไร”
เรามาปลูกต้นไม้ชื่อว่า ต้นรัก ก่อเกิดเป็นความสามัคคีกันดีกว่าไหม
อย่าถามว่า “ต้นไม้และแผ่นดินนี้ให้อะไรแก่ท่านบ้าง แต่จงถามให้มากว่าเราจะปลูกอะไรบนแผ่นดิน และใช้อะไรทดแทนต้นไม้ที่เป็นบรรพบุรุษของเราบ้าง