1.นิยายเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร
นิยายเรื่อง “นารีนครา” พระราชนิพนธ์แปลในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นนิยายสมัยใหม่ของ "ฉือลี่" นักเขียนหญิงผู้มีชื่อเสียง เป็นเรื่องราวสะท้อนสังคม และในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นความงดงามของ "ความเป็นหญิง" ซึ่งมิได้หมายถึงรูปลักษณ์ภายนอกอันชวนให้หลงใหล หากแต่อยู่ในพลังและบทบาทหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของความเป็นแม่ ความเป็นภรรยา และที่สำคัญที่สุดคือความเป็นเพื่อนแท้ ผ่านตัวละครสำคัญ 3 ตัว ซึ่งเป็นตัวแทนหญิงรุ่นเก่า รุ่นกลาง รุ่นใหม่ ที่ได้มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันในมิติต่างๆ และได้ถ่ายทอดเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ในกระแสสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและซับซ้อน
นารีนครา เป็นนิยายที่กล่าวถึงตัวละครหญิง 3 ตัว คือ คุณย่า มี่เจี่ยและเฝิงชุน ซึ่งเป็นภาพสะท้อนความคิดตัวแทนคนรุ่นเก่า รุ่นกลางและรุ่นใหม่
คุณย่าวัย 86 ปี แม่ผัวของมี่เจี่ย ผู้ทรงคุณธรรมและปัญญา เสียสละเป็นหลักค้ำจุน เพื่อให้ “ครอบครัว” ดำรงอยู่ร่วมกันได้ตามค่านิยมเดิม ใช้ความดีความเข้าใจโลกแก้ปัญหาให้กับทุกคนอย่างนุ่มนวลเด็ดเดี่ยว
มี่เจี่ย หญิงม่าย สะใภ้คุณย่า ผู้เปิดร้านขัดรองเท้า มีบุคลิกคล้ายผู้ชายเพราะเคยเป็นทหารมา 8 ปี จึงดูแกร่งและเก่ง มีความอ่อนโยนลึกซึ้งแฝงอยู่ในหัวใจ มีความซาบซึ้งผูกพันกับความดีงามประณีตของวัฒนธรรมเดิม ทั้งเรื่องของอาหารเลิศรส และความยิ่งใหญ่งดงามของ “นครา” ของตน
เฝิงชุน หญิงสมัยใหม่ผู้มีการศึกษา แต่งงานมีครอบครัว แต่ประสบปัญหาการใช้ชีวิตคู่และต้องผันตัวเอง ด้วยการสมัครเป็นลูกจ้างร้านขัดรองเท้าของมี่เจี่ยเพื่อประชดสามี มีความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสาต่อโลกภายนอก มีความกล้าหาญ องอาจ
การเชิดชู "ความเป็นหญิง" ในนิยายนี้ ทวีความลึกซึ้งยิ่งขึ้น เมื่อผู้เขียนใช้ฉากสำคัญคือ "นครอู่ฮั่น" ซึ่งเป็นนครที่มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมยาวนาน การบรรยายฉากอย่างละเอียดให้เห็นชีวิต ความงาม และความยิ่งใหญ่ของนครอู่ฮั่นนี้ จึงเป็นฉากที่เพิ่มความหมายลึกซึ้งให้กับชื่อเรื่อง "นารีนครา" จนอาจกล่าวได้ว่า "นารีนครา" เป็นนิยายที่สะท้อนวีรกรรมอันเกิดจากดวงใจแกร่งแท้ดั่งเหล็กกล้าของหญิง ซึ่งได้ดำเนินมาแล้วในอดีต ดำรงอยู่ในปัจจุบัน และจะสืบเนื่องต่อไปในอนาคต
นิยายเรื่องนี้จบลงแบบปลายเปิด ขึ้นอยู่กับว่าตัวละครจะคิดและตัดสินใจเลือกหนทางชีวิตและเรื่องของความรักด้วยตัวเองเช่นไร เธอจะแกร่งและกล้าพอไหม...
2.ทำไมถึงชอบนิยายเรื่องนี้
นารีนครา เป็นนิยายขนาดสั้น 15 ตอนจบ เล่าเรื่องผ่านมุมมองของผู้เขียนไปเรื่อยๆ ใช้ภาษาเรียบง่ายแต่น่าติดตาม เนื่องจากลำดับเรื่องราวในปัจจุบันโยงไปหาอดีตและกลับมาที่ปัจจุบัน นิยายเรื่องนี้ใช้คำกระชับ แต่กินใจความมาก
นิยายเรื่องนี้มีการแฝงคติที่คมคายและแทรกเรื่องราวเกี่ยวกับอาหารการกินของชาวจีนในนครอู่ฮั่นได้อย่างเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม เช่น
'ซุปเป็ดตุ๋นกับลูกแพร์ขาวใส่หม้อดินอุ่นไฟอ่อนๆเป็นอาหารที่เหมาะกับฤดูชิวเทียน ที่อากาศแห้ง ซุปแบบนี้รสหวานปะแล่มๆ ให้ความชุ่มชื้น ดีกับสุขภาพ ตงเทียน ต้องกินซี่โครงหมูต้มรากบัว ต้องเป็นรากบัวที่อยู่ในสระน้ำซึ่งมีโคลนตม และได้ผ่านฤดูหนาวที่มีทั้งเกล็ดน้ำแข็งและหิมะ ถึงจะทำให้เนื้อรากบัวเป็นสีขาวนุ่มนวล
อาหารที่สั่งอีกอย่างคือปลาเตียวขาว ตัวโตทอดผัดซอส เวลานี้มีแต่ที่อู่ฮั่นที่มีปลาแบบนี้ตามธรรมชาติ ปลาตามธรรมชาติถึงจะไม่สดก็ยังอร่อยมากกว่าปลาเลี้ยง สำหรับผัก มี่เจี่ยสั่งผักกาดเขียวกวางตุ้งผัด ต้องผัดในกระทะเหล็ก ผัดเร็วๆใส่น้ำมันมากไม่ได้ เพราะคนกินจะรู้สึกว่ามันเกินไป และรสชาติของผักจะหายไป ต้องไม่ใส่พริก พอเกือบสุกดีใส่กระเทียมสับลงไป' (น.99-100)
นอกจากนี้ยังแฝงคติที่พอจะนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ แต่สำหรับดิฉันแล้ว ประโยคที่ดิฉันชอบมากที่สุด คือ
'ในโลกนี้ไม่มีงานที่ต่ำต้อย มีแต่คนที่ต่ำต้อย' (น.26) ดิฉันคิดว่าประโยคนี้จริงมาก เช่น อาชีพคนกวาดขยะบนท้องถนน เป็นงานที่สุจริต พวกเขาสามารถทำงานส่งเงินให้ลูกเรียนสูงๆได้ ไม่ได้เป็นอาชีพที่ต่ำต้อยแม้แต่น้อย แต่ผู้คนมักจะมองว่าคนทำอาชีพนี้น่ารังเกียจ สกปรก ต่ำต้อย แท้ที่จริงแล้วคนที่ต่ำต้อย ก็คือจิตใจของคนนั่นเอง ที่มีทัศนคติที่ไม่ดีต่ออาชีพนั้น เพราะฉะนั้น เราไม่ควรตัดสินคนที่อาชีพ เพราะคนเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ แต่เขาก็สามารถเลือกดำเนินชีวิตในทางที่ถูกต้องได้
นิยายเรื่องนี้ยังสะท้อนภาพชีวิต มิตรภาพและสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดของผู้คนประหนึ่งว่าเป็น 'ครอบครัวเดียวกัน' เห็นภาพวิถีชีวิต ประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงสังคมที่มีคุณค่าและความหมายเพื่อเรียนรู้และเท่าทันอย่างเข้าใจโลกมากขึ้น เช่น
'นักเรียนโรงเรียนมัธยมหมายเลข 1 ในเมือง ช่วงหยุดระหว่างชั่วโมงยังมาที่ร้าน เอารองเท้ามาให้ขัด ทั้งรองเท้ากีฬา รองเท้าใส่เดิน แม้แต่รองเท้าแตะก็ส่งมาโรงเรียนมัธยมที่มีชื่อเสียงนั้น ถ้าลูกเข้าไปเรียนได้ แม้ว่าพ่อแม่ต้องรัดเข็มขัดแน่นแค่ไหน ยังต้องให้เงินลูกใช้ เด็กๆพูดโหกกันทั้งนั้น เด็กชอบไปเที่ยวอินเตอร์เนตบาร์ ส่งรองเท้าไปขัด พวกเขาไม่บอกความจริงให้พ่อแม่รู้ บอกแต่ว่ากินไม่อิ่ม ต้องไปซื้อของกิน ทำให้พ่อแม่เป็นห่วงกังวล เวลานี้เด็กมัธยมชอบตบตาพ่อแม่ ทำสิ่งที่พ่อแม่นึกไม่ถึง เด็กผู้ชายชอบของมียี่ห้อ เด็กผู้หญิงชอบแต่งหน้าแต่งตา ทาเล็บแดง แอบใส่รองเท้าส้นสูง ทั้งยาทาเล็บและรองเท้าส้นสูงก็เอามาฝากไว้ที่ร้านของมี่เจี่ย เวลาจะใช้ก็มาเปลี่ยนรองเท้าที่ร้าน สังคมเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ถ้าร้านของมี่เจี่ยกิจการไม่ดีก็แปลก' (น.70)
ภายหลังที่เฝิงชุนและมี่เจี่ยทะเลาะกันเรื่องผู้ชาย ในทัศนะของผู้ผ่านโลกมาก่อน มี่เจี่ยเห็นว่ามันเป็นการคบชู้ทางใจและไม่เหมาะสม ส่วนเฝิงชุนลังเล หวั่นไหว พูดถึงแต่เรื่องความรักของหญิงชายเป็นสิ่งสวยงาม ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาของเฝิงชุนกับโจวหยวนนั้นไม่มีแล้ว นับเป็นประสบการณ์ชีวิตที่เกิดขึ้น ซึ่งทั้งมี่เจี่ยเคยประสบและเฝิงชุนก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน จึงทำให้ทั้งสองคนมองและเห็นปัญหาร่วมกันจนเกิดความเป็นมิตรสนิทสนม เข้าใจหัวอกซึ่งกันและกัน
3.ได้อะไรจากการอ่านนิยายเล่มนี้บ้าง
1.ได้รู้คำศัพท์และวัฒนธรรมจีนเพิ่มมากขึ้น
2.ทำใ