รอมฎอนเป็นเดือนแห่งความเมตตาจากพระผู้อภิบาลแห่งสากลจักรวาลที่พระองค์ทรงมีให้แก่ชั้นฟ้าและแผ่นดิน ดังนั้นในเดือนรอมฎอนของทุกๆ ปีบรรดาปวงบ่าวผู้ศรัทธาจะพยายามปฏิบัติอิบาดะฮฺ(ศาสนกิจ) ทำการภักดีต่อพระผู้อภิบาลของพวกเขาอย่างเข้มแข็ง ทั้งยามเช้ายามเย็นและยามค่ำคืน เพื่อสนองคำบัญชาของพระองค์ที่ได้สั่งใช้และให้ละเว้นในสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม
จุดประสงค์เดียวเท่านั้นที่บรรดาผู้ศรัทธาได้ตั้งใจทำอิบาดะฮฺ ก็เพื่อทำการภักดีที่มีต่อพระองค์อย่างแท้จริง และหวังความโปรดปรานความเมตตาจากพระองค์ในโลกอาคีเราะฮฺหรือภพหน้าเท่านั้น
พี่น้องที่รักทั้งหลาย เดือนแห่งความเมตตาของพระผู้อภิบาลนั้น ได้กลับมาอีกครั้งกลับมาในช่วงเวลาที่พวกเรายังมีชีวิตอยู่ มันจึงเป็นโอกาสที่จะได้ตอบสนองคำบัญชาของพระองค์อีกครั้งและจะได้มีโอกาสฝึกฝนตัวเองให้มีความสามารถในการเป็นผู้ให้เป็นผู้มีเมตตาต่อผู้อื่น มีผู้คนอีกมากมายที่หมดโอกาสต้อนรับเดือนแห่งความเมตตานี้เพราะพวกเขาต้องจากโลกนี้ไปก่อนเดือนรอมฎอนจะมาถึง
รอมฎอนเป็นเดือนที่เหล่าผู้ศรัทธาจะรับผลานิสงส์ผลตอบแทนอันมากมายจากความเมตตาของพระผู้อภิบาลของพวกเขา ทั้งยังเป็นเดือนแห่งการฝึกฝนทักษะแห่งความดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการอดทน การประหยัด การบริจาค การละหมาดยะมาอะฮฺ(รวม)กันที่มัสยิด การอ่านคัมภีร์กุรอาน และการให้อภัย
ความดีทั้งหกประการนี้ เป็นสุดยอดแห่งความดีที่เราสามารถฝึกฝนให้เกิดทักษะเพื่อเราจะได้เป็นผู้ชำนาญการในเรื่องเหล่านั้นและสามารถนำไปปฏิบัติในการดำเนินชีวิตได้ตลอดทั้งปี
บรรดาผู้ศรัทธาต้องรู้ดีว่า พวกตนนั้นเกิดมาในโลกนี้เพื่อเป็นผู้ให้หรือเป็นมือบน โดยหวังผลในความโปรดปรานและความเมตตาจากพระผู้อภิบาลของพวกเขาในโลกอาคิเราะฮฺหรือโลกหน้า เราศรัทธาว่าโลกอาคิเราะฮฺอันเป็นโลกแห่งความเป็นนิรันดร์ ซึ่ง 1 วันในโลกอาคีเราะฮฺนั้น ก็เท่ากับ 1,000 ปีในโลกที่เราเรียกว่าดุนยานี้
ดังที่อัลกุรอานในซูเราะฮฺที่ 32 ที่มีชื่อว่า ซูเราะฮฺ อัซซัจญ์ด๊ะฮฺ ในอายะฮฺที่ 5
พระองอัลลอฮฺ(ซ.บ.) ได้กล่าวไว้ในซูเราะฮฺนี้ว่า
32:5 “พระองค์ทรงบริหารกิจการทั้งหลายของโลกจากชั้นฟ้ายังโลก และบันทึกการบริหารนี้ได้ขึ้นไปสู่พระองค์ในวันหนึ่ง ซึ่งเวลาของมันเป็นเวลาพันปี ตามการนับของเจ้า”
ดังนั้นเวลาในโลกนี้ชั่งสั้นนัก เมื่อเทียบกับโลกหน้าอันเป็นโลกแห่งความจริง โลกแห่งความเป็นนิรันดร์สำหรับผู้มีอีหม่าน ผู้ศรัทธาที่มีความจงรักภักดีต่อพระผู้อภิบาลของเขา และเมื่อเขามีความรักความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ และสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลาย เขาก็จะถูกขนานนามว่า ผู้ศรัทธาซึ่งเขาจะมีความสุขในโลกอันเป็นนิรันดร์แห่งนั้น
หนึ่งในความหมายของผู้มีอีหม่าน ตามวจนะของท่านศาสดามูฮัมมัด (ซ.ล.) ที่กล่าวว่า
“ไม่มีอีหม่านในคนใดในหมู่สูเจ้า จนกว่าเขาจะรักพี่น้องเหมือนกับรักตัวเอง” (อัลบุคคอรีและมุสลิม จาก อนัส